Mercedes-Benz S-Class SL 500 |
เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่ยึดถือความหมายของตัวอักษร “SL” ซึ่งย่อมาจาก “super, lightweight” โดยการลดน้ำหนักของตัวรถเป็นคุณลักษณะการออกแบบที่เด่นชัด และนับเป็นครั้งแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำตัวถังรถที่เป็นอะลูมิเนียมทั้งคันมาใช้กับรถที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ใช้วัสดุชนิดอื่นนอกจากนั้น ทีมผู้ออกแบบยังนำแมกนีเซียมซึ่งยิ่งมีน้ำหนักเบายิ่งขึ้นมาใช้เป็นชิ้นส่วนปิดด้านหลังถังน้ำมัน และเสา A-Pillar เป็นเหล็กกล้าที่มีความแกร่งสูง เพื่อประสิทธิภาพในเรื่องความปลอดภัย
ขณะเดียวกัน น้ำหนักที่ลดลงนำมาซึ่งความปราดเปรียวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่าเดิม โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่น SL 500 ใหม่ (1,785 กก.) มีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 125 กิโลกรัม และ SL 350 ใหม่ (1,685 กก.) น้ำหนักตัวรถลดลงถึง 140 กิโลกรัมสำหรับพลังขุมขับเคลื่อน เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL 500 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V8 เทอร์โบคู่ 4663 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 320 กิโลวัตต์ หรือ 435 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-3,500 รอบต่อนาที (แรงม้ามากกว่ารุ่นก่อน 12% และแรงบิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 32%) เร่งทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 4.6 วินาที ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงจากเดิม 22%
ในขณะที่ SL 350 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V6 ขนาด 3498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด225 กิโลวัตต์ หรือ 306 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 370 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500-5,250 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเวลา 5.9 วินาที มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 6.8-7.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 13.3-14.7 กิโลเมตรต่อลิตร หรือลดลงจากเดิม 30%
โดยทั้งสองรุ่นถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS พร้อมเพิ่มความประหยัดด้วยฟังก์ชัน ECO Start/Stop ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานภายในห้องโดยสารกว้างขวางมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยมีความยาวตัวรถที่ 4,617 มม. (เพิ่มขึ้น 50 มม.) ความกว้างที่ 1,877 มม. (กว้างขึ้น 57 มม.) เส้นสายภายในตกแต่งด้วยลายไม้เชื่อมยาวจากคอนโซลกลางไปถึงแผงหน้าปัดและต่อเนื่องจนไปถึงประตู พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับได้ถึง 3 เฉดสี คือ สีขาว ส้ม และแดง โดยเลือกเปลี่ยนสีที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย
ส่วนชุดโคมไฟหน้าแบบไบซีนอน ที่ลาดเอียงดูปราดเปรียววางทอดยาวไปสู่ด้านข้าง มาคู่กับระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System - ILS) โดยมีฟังก์ชั่นการส่องสว่างถึง 5 แบบ พร้อมด้วยไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาที่เด่นสะดุดตา และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LEDนอกจากนั้นยังโดดเด่นด้วยระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) เพียงยื่นปลายเท้าไปใต้กันชนหลัง และหลังคากระจกแบบ Panoramic Vario-roof เปิด-ปิดหลังคาโดยใช้เวลาเพียง 20 วินาที โดยมาพร้อมกับฟังก์ชั่นพิเศษ MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับระดับความเข้มของหลังคาเพียงปลายนิ้วสัมผัส เพื่อเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นโรดสเตอร์ หรือคูเป้ได้ตามต้องการอย่างรวดเร็วเหนืออื่นใดยังเป็นการเปิดตัวสองนวัตกรรมใหม่ ครั้งแรกของโลกสำหรับ MAGIC VISION CONTROL ระบบการทำงานของใบปัดน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งน้ำฉีดล้างกระจกจะถูกส่งออกมาจากก้านปัดน้ำฝนโดยตรง โดยมีการปัดในสองทิศทาง ทำให้ไม่มีการกระจายตัวของละอองน้ำที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ในขณะฉีดน้ำ
รวมถึงระบบเสียง Front Bass ซึ่งใช้พื้นที่ว่างในโครงสร้างอะลูมิเนียมของตัวรถด้านหน้าเป็นจุดติดตั้งลำโพงเสียงเบส ทำให้เกิดเสียงทุ้มที่สะอาดลุ่มลึกและชัดเจน ให้ความรู้สึกดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและช่วยสร้างบรรยากาศเสียงแบบคอนเสิร์ตฮอลล์ได้แม้ในขณะที่เปิดหลังคา
ด้านความปลอดภัยมีครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ซึ่งมีเพียงแบรนด์เดียวในโลก และระบบช่วยเหลือต่างๆ อาทิ ระบบเข็มขัดนิรภัยแบบรั้งกลับอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ถุงลมนิรภัยบริเวณศีรษะ พนักพิงศีรษะ NECK-PRO ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ATTENTION ASSIST ระบบ ADAPTIVE BRAKE และระบบช่วยจอด Active Parking Assist เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่
No comments:
Post a Comment