Sunday, September 18, 2011

Chevrolet Cruze 2.0 Diesel vs ford focus 2.0 diesel


เป็นสองค่ายอเมริกันใจถึง ที่กล้านำเก๋งระดับคอมแพกต์เครื่องยนต์ดีเซลมาเปิดตลาดในเมืองไทย (ไม่นับกลุ่มรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู) โดย“ฟอร์ด” ประเดิมขายมา3 ปีแล้ว กับ โฟกัส 2.0 TDCi ซึ่งนำเข้าทั้งคันจากโรงงานฟิลิปปินส์ ส่วน “เชฟโรเลต ครูซ 2.0 VCDi” โมเดลสดใหม่จากโรงงานจีเอ็มระยอง เพิ่งพร้อมลุยตลาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับฟอร์ด โฟกัส เครื่องยนต์ดีเซล การทำตลาดช่วงแรกจะมาพร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด แต่หลังจากการไมเนอร์เชนจ์ปลายปี 2551 จึงเสริมรุ่น “เกียร์ดูอัลคลัทซ์” มาเป็นทางเลือกใหม่ สนนราคาขาย 1.099 ล้านบาท (ปัจจุบันราคา 1.169 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นรถที่มีความคุ้มค่าต่อราคาสูงเมื่อเทียบกับออปชัน และเทคโนโลยีที่ได้รับ ขณะเดียวกันก็น่าจะคุ้มที่สุดเมื่อเทียบกับเก๋งคอมแพกต์เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรของคู่แข่ง

...เมื่อวันเปลี่ยนเวลาผ่าน ถึงวันนี้โฟกัสเตรียมถอยหลังเข้าสู่ปลายอายุการทำตลาด โดยรุ่นโฉมใหม่โมเดลเชนจ์มีคิวเปิดตัวในเมืองไทยช่วงปลายปี 2555 (ประกอบในเมืองไทย)

สำหรับเชฟโรเลต ครูซ ที่เข้ามาทำตลาดแทน “ออพตร้า” มีทางเลือกเครื่องยนต์หลากหลายทั้ง เบนซิน 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร และตัวท๊อปเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร
นำรถยนต์ทั้งสองรุ่นมาประกบคู่ หวังลองขับจับสมรรถนะ และเทียบออปชันการใช้งานให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


เริ่มกันที่รูปลักษณ์ภายนอกต้องย่อมรับว่า “ครูซ” ได้เปรียบเรื่องความสดใหม่ ขณะที่ตัวถังอาจดูใหญ่กว่า แต่เมื่อเทียบมิติกันแล้วแทบไม่ต่างกันมาก (โฟกัส ตัวถังแฮทซ์) โดยความยาวหน่วยมิลลิเมตร (โฟกัส/ครูซ) 4,337/4,600 กว้าง 1,839/1,790 สูง 1,497/1,475 ส่วนระยะฐานล้อ 2,640/2,685

...จะเห็นว่าความยาวและระยะฐานล้อครูซมากกว่าโฟกัสนิดหน่อย ขณะเดียวกันด้วยโครงสร้างช่วงล่างหลังของครูซที่ใช้แบบ “ทอร์ชันบีม” ย่อมส่งผลโดยตรงกับพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ขยับขยายได้สบายกว่าโฟกัส
ด้านการตกแต่งภายในครูซกินขาด ทั้งสีสันของแผงคอนโซล เบาะนั่ง ชุดเครื่องเสียง แอร์ พวงมาลัย คันเกียร์ โดยเชฟโรเลตเรียกว่า ดีไซน์แบบดูอัลคอกพิต ซึ่งออกแบบให้ใช้งานง่าย ขณะที่โฟกัส นั้นใช้งานสะดวกเช่นกัน แต่อารมณ์โบราณกว่าชัดเจน

สิ่งที่น่าสนใจเห็นจะเป็นออปชันหลัก ที่ใช้งานบ่อย ซึ่งรถทั้งสองรุ่นมีดีแบ่งๆกันไป ไล่ตั้งแต่ครูซ จัดกุญแจอัจฉริยะ (เปิดประตู กดปุ่มสตาร์ท) แต่โฟกัสเป็นแบบรีโมทเสียบสตาร์ทธรรมดา

ขณะที่ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ครูซประดับไว้สวยงามใช้งานถนัดมือ พร้อมช่องต่อ USB AUX ตลอดจนครูสคอนโทรล แต่โฟกัสจะมีแป้นควบคุมอยู่หลังพวงมาลัยซึ่งใช้งานยาก ไม่มีครูสคอนโทรล และช่องUSB (ช่วง 6-7 ปีที่แล้วยังไม่ฮิต)


อย่างไรก็ตามโฟกัสจะทดแทนด้วย เครื่องเสียงสามารถเล่น ซีดี เอ็มพี 3 ได้ถึง 6 แผ่น (ครูซเล่นได้เพียง 1 แผ่น และไม่รับไฟล์เอ็มพี3) รวมถึงออปชันที่เหนือกว่าคือ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า (ครูซมือโยก) พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง


ส่วนมาตรฐานความปลอดภัยนับว่าใกล้เคียงกัน ทั้ง ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบควบคุมการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC แต่จะต่างกันตรงที่ถุงลมนิรภัย ที่แม้จัดคู่หน้า(คนขับ-ผู้โดยสาร)มาทั้งคู่ แต่ครูซจะเพิ่มถุงลมด้านข้างมาให้อีกฝั่งละลูก
ด้านเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.0 ลิตรเท่ากัน แต่โฟกัสเป็นแบบแคมชาร์ฟคู่ DOHC ส่วนครูซเป็นแคมชาร์ฟเดี่ยว SOHC โดย TDCi ของโฟกัสให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 4000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2000 รอบต่อนาที ขณะที่ VCDi ของครูซ รีดกำลังมากกว่า หรือ150 แรงม้าที่ 4000 รอบต่อนาที แรงบิดเท่ากัน 320 นิวตันเมตร ที่ 2000 รอบต่อนาที

...ตอนสตาร์ทเครื่องแล้วยืนอยู่ภาย นอก เสียงเครื่องยนต์ VCDi จะดังกว่า TDCi ชัดเจน หรือหลับตานึกภาพก็คือเสียงปิกอัพอีซูซุประมาณนั้น แต่กระนั้นเมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสารแล้วปิดประตู เสียงกระหึ่มดังกล่าวกลับเล็ดลอดเข้ามาน้อยมาก

สำหรับระบบส่งกำลัง โฟกัสเลือกใช้เกียร์ดูอัลคลัทซ์ 6 สปีด ส่วนครูซเป็นแบบอัตโนมัติ ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ 6 สปีด ซึ่งความต่างนี้มีผลกับบุคลิกการขับขี่พอสมควร

เรื่องเร่งแรงเร้าใจต้องยกให้โฟกัส ที่เครื่องยนต์และเกียร์ดูจะสอดประสานถ่ายทอดกำลังสู่ล้อหน้าได้ลงตัว พลังจัดหนักตั้งแต่ 1,500 รอบ น้ำหนักคันเร่งและระยะกดสัมพันธ์กับอาการพุ่งดึง ส่วนครูซนั้นการตอบสนองไม่ได้ขี้เหร่ แต่สมรรถนะรวมๆออกแนวนิ่งนุ่ม ตลอดจนแป้นคันเร่งเบาลึก ต้องกดเยอะถึงจะรับรู้ถึงการเร่งกระชาก ยิ่งในรอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 แทบจะไม่มีแรงเอาเสียเลย

การขับในเมืองโฟกัสจะคล่องตัวกว่า ทั้งอัตราเร่ง และการควบคุมฝ่านพวงมาลัยน้ำหนักกระชับมือ สั่งงานซ้าย-ขวาแม่นยำ ส่วนครูซน้ำหนักอาจเบาไปสักนิด จังหวะเลี้ยวมีระยะฟรี หรือต้องเลียเลี้ยงพวงมาลัยอยู่ตลอด

ด้านช่วงล่างหน้า ฟอร์ด โฟกัส เป็น แมคฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง หลังเป็นคอนโทรล เบลด มัลติลิงค์ ประกบล้ออัลลอย 16 นิ้ว ยาง 205/55 R16 ส่วนครูซ เป็น แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง หลังคานแข็งทอร์ชั่นบีม ประกบล้ออัลลอย 17 นิ้ว ยาง 225/50 R17 ซึ่งถ้าอยู่ในตำแหน่งผู้โดยสารก็นั่งนุ่ม รองรับการสั่นสะเทือนจากพื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Honda Freed Limited Option 939,500 Baht


ค่ายฮอนด้าเพิ่มความคุ้มค่าให้กับ “ฟรีด” ส่งรุ่นลิมิเต็ดลุยตลาด โดยเสริมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก อาทิ ชุดเครื่องเล่นดีวีดี ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ กล้องส่องหลัง และสัญลักษณ์ Limited เปิดราคาอยู่ที่ 939,500 บาท


บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ ฮอนด้า ฟรีด รุ่น ลิมิเต็ด เพื่อมอบความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ด้วยอุปกรณ์พิเศษที่ตอบสนองการใช้งาน ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกที่หรูหรา กว้างขวาง เบาะนั่งมี 3 แถว สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ที่นั่ง โดยคอนโซลหน้าได้ออกแบบแบบ Open Café มี 2 ชั้น เพิ่มความโดดเด่นด้วยชุดเครื่องเล่นดีวีดี/ซีดี/MP3 พร้อมช่อง Aux สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง เพื่อความเพลิดเพลินทุกการเดินทาง มั่นใจทุกการขับขี่กับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ และกล้องส่องหลัง ส่วนประตูเป็นแบบสไลด์อัตโนมัติซ้าย-ขวา ขึ้น-ลงสะดวก แม้จอดรถในพื้นที่แคบ

สำหรับขุมพลังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control ช่วยรักษาระดับความเร็วขณะเข้าโค้ง ระบบลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (DBW) ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าอิสระแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงและระบบกันสะเทือนด้านหลัง ทอร์ชั่นบีมแบบ H-shape ให้ความนุ่มนวลและการทรงตัวที่ดี 



ด้านระบบความปลอดภัยมาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และถุงลมคู่หน้า Dual SRS เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ (Pretensioner Seatbelt) พร้อมระบบผ่อนแรง Load Limiter ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย กุญแจแบบ Wave Key และไฟเบรกดวงที่ 3

ฮอนด้า ฟรีด รุ่น ลิมิเต็ด มีให้เลือก 3 สี คือ สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล (มุก) และสีขาวบริลเลียนท์(มุก) พร้อมวางจำหน่ายในราคา 939,500 บาท 

 


manager.co.th

Limited 1,600 คัน Camry Hybrid Extremo

 โตโยต้ากระตุ้นตลาดรถยนต์ครึ่งปี หลัง ด้วยการส่ง “คัมรี ไฮบริด Extremo ใหม่” โฉมสปอร์ตหรูในมาดชุดแต่งรอบคัน พร้อมผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,600 คัน สนนราคา 1,699,000 บาท


หลังจากที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้แนะนำ “คัมรี ไฮบริด” รถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 และได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวไทย ตอนนี้ได้เพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์ไฮบริด โดยแนะนำรถยนต์โตโยต้า “คัมรี ไฮบริด Extremo ใหม่” ในรูปลักษณ์ความหรูหราระดับผู้นำ พร้อมเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ตด้วยชุดแต่งรอบคัน ผลิตจำนวนจำกัด เพียงแค่ 1,600 คัน เท่านั้น เคาะราคาอยู่ที่ 1,699,000 บาท (ราคารวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม)


Camry Hybrid Extremo




สำหรับความโฉบเฉี่ยวที่เพิ่มเติมด้วยชุดแต่งรอบคัน สเกิร์ตกันชนหน้า ด้านข้าง กันชนหลัง และสปอยเลอร์หลัง ที่ได้รับการออกแบบอย่างมีสไตล์ พร้อมด้วยป้ายสัญลักษณ์ “HYBRID EXTREMO” ในด้านหลัง บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวระดับผู้นำ และเสริมด้วยล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว รมดำ พร้อมยางขนาด 215/60/R16


ด้านระบบเครื่องเสียง พกพาเครื่องเล่น DVD 1แผ่น แบบหน้าจอสัมผัส ส่วนภายในหรูหรา สุขุม ด้วยโทนสีดำทั้งเบาะนั่ง แผงประตู คอนโซล พวงมาลัยลายไม้ และหัวเกียร์หุ้มหนัง โดยมีสีภายนอกให้เลือก 3 สี คือ สีฟ้า (Light Blue Mica), สีขาว (White Pearl) และ สีดำ ( Black Mica)



ในส่วนของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้ายังคงใช้ เครื่องเบนซิน Atkinson-Cycle รหัส 2AZ-FXE ขนาด 2.4 ลิตร ให้ แรงม้าสูงสุดรวมกันได้ 140 กิโลวัตต์ ที่ 6500 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดสูงสุดจากเครื่องยนต์ 187 นิวตันเมตรที่ 4400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 270 นิวตันเมตรที่ 0-1500 รอบต่อนาที


ด้านความปลอดภัยติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้าง ระบบไฟหน้า HID สว่างชัดตลอดการเดินทาง แม้ขณะเข้าโค้งด้วยระบบปรับมุมลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ (AFS) ส่วนการควบคุมมีระบบจัดการรวมไดนามิคของตัวรถ (VDIM) ที่จะควบคุมการทำงานของระบบเสริมความปลอดภัยต่างๆในรถยนต์ที่เคยทำงานแยกกัน ให้มาทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TRC) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) รวมทั้งติดตั้งระบบเบรก ECB II หรือ Electronic Brake Control เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเบรก และจะมีการชาร์จไฟกลับ เข้ามาเก็บไว้ที่แบตเตอรีไฮบริด นำพลังงานที่สูญเปล่ากลับมาใช้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง



Popular Posts