Tuesday, October 25, 2011

BMW 3-Series โฉมใหม่มาแล้ว

BMW 3-Series โฉมใหม่
แม้ในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2011 ที่เพิ่งปิดฉากไปในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา แฟนๆ จะไม่มีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าของซีรีส์ 3 ใหม่แม้แต่เงา ทำให้หลายคนคิดว่าน่าจะต้องรอจนถึงงานในปี 2012 อย่างเจนีวา มอเตอร์โชว์ ถึงจะได้เห็นหน้าตา ยังไม่รวมกำหนดการวางขายที่จะต้องมีขึ้นหลังจากนั้นอย่างน้อยก็อีก 1 เดือน...แต่งานนี้ผิดคาด

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าบี เอ็มดับเบิลยูเผยโฉมของซีรีส์ใหม่ที่จะใช้รหัส F30 ออกมาแล้วแล้วในโลกอินเตอร์เนตก่อนเปิดตัวจริงในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ เดือนมกราคม 2012 และบุกตลาดระลอกแรกตามธรรมเนียมปฏิบัติด้วยรุ่นซี ดาน 4 ประตูที่มีความกว้างของล้อหน้าและหลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 37 และ 47 มิลลิเมตร เพื่อการทรงตัวที่ดีขึ้น แถมด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มีการออกแบบโดยได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่อย่างซี รีส์ 5 และ 7





ในรุ่นนี้ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของซีรีส์ 3 นับจากรุ่นแรกเปิดตัวในปี 1975 ในรหัส E21, ตามด้วย E30, E36, E46 และที่เพิ่งตกรุ่นไป E90 ส่วนเรื่องการแยกตัวถังว่าซีรีส์ 3 จะมีแค่ซีดาน และสเตชันแวกอน ส่วนคูเป้และเปิดประทุนเปลี่ยนไปใช้ซีรีส์ 4 ตามที่เคยมีข่าวออกมานั้น ในตอนนี้ ทางบีเอ็มดับเบิลยูยังไม่ยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในแง่ของความสำคัญในเชิงการตลาดแล้ว ถือว่าซีรีส์ 3 มาถูกช่วงถูกเวลา และกลายเป็นความหวังในการช่วยดันให้ยอดของบีเอ็มดับเบิลยูในปี 2012 ให้ฉีกหนีคู่แข่งอย่างออดี้ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งผลผลิตคู่แข่งอย่างเอ4 และซี-คลาสยังเป็นแค่การไมเนอร์เชนจ์ โดยบีเอ็มดับเบิลยูเผยว่าด้วยแรงหนุนของทั้งซีรีส์ 1 ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี บวกกับซีรีส์ 3 ใหม่ซึ่งเป็นรถยนต์ยอดนิยมจะทำให้ค่ายใบพัดสีฟ้าโกยยอดขายอย่างแน่นอน



สำนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาอย่าง IHS เผยว่า ยอดขายของซีรีส์ 3 ในปี 2012 น่าจะอยู่ที่ 448,600 คันหรือเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2011 และตรงนี้จะช่วยทำให้ยอดขายของค่ายใบพัดสีฟ้าทะลุขึ้นมาอยู่ 1.47 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นจากยอดที่คาดการณ์เอาไว้ในปี 2011 ถึง 9.3%

ทางด้านรายละเอียดทางวิศวกรรมนั้น ซีรีส์ 3 ใหม่จะมาพร้อมกับความทันสมัยในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซลให้สะอาดขึ้น เช่น การติดตั้งเทคโนโลยี Stop&Go ซึ่งจะดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่ และจะมีเวอร์ชันไฮบริดแท้ๆ วางขายด้วยในปลายปี 2012



ขณะที่สมรรถนะในการขับสัมผัสได้จากระบบช่วงล่างที่ได้รับการ ปรับเซตมาเป็นอย่างดี บนพื้นฐานของเลย์เอาท์ตัวถังในแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อ หลัง ซึ่งระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ Double-Joint Strut และด้านหลังแบบยึด 5 จุด โดยที่ตัวถังแบบ 4 ประตูมีความยาวเพิ่มขึ้น 93 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตร เป็น 2,810 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์ที่ทำตลาดมีทั้งแบบ 4 สูบ และ 6 สูบเรียง โดยที่มีเครื่องยนต์ใหม่เป็นแบบเบนซิน 4 สูบ 2000 ซีซี และวางขายกับรุ่น 328i ซึ่งแต่เดิมตลาดรุ่นนี้จะเป็นของ 325i และ 330i ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3000 ซีซี โดยขุมพลังบล็อกนี้ติดตั้งเทอร์โบแบบ Twin-Scroll, ระบบวาล์วแปรผัน VALVETRONIC และระบบหัวฉีดไดเร็กต์อินเจ็กชั่น รีดกำลังออกมาได้ 245 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง





ขณะที่รุ่น 335i ยังเร้าใจเช่นเคยด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ 3000 ซีซี เทอร์โบคู่ ที่มีกำลังสูงสุด 306 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ที่ 1,200-5,000 รอบ/นาที ใช้เวลา 5.5 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ส่วนใครที่ต้องการความประหยัดก็สัมผัสได้กับรุ่น 320d ขุมพลัง 4 สูบ 2000 ซีซี จ่ายน้ำมันด้วยแรงดันสูงในระดับ 2,000 บาร์ มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที และมีรุ่นพิเศษที่เรียกว่า EfficientDynamics Edition วางขายคู่กัน โดยลดกำลังลงมาอยู่ที่ 163 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แต่ลดการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาอยู่ที่ 109 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร แทนที่จะเป็น 169 กรัมเหมือนกับรุ่นปกติ




      สำหรับทางเลือกอื่นๆ ก็มีขาย แต่ต้องรออีกสักระยะอย่างรุ่น 320i ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2000 ซีซี เทอร์โบรุ่นใหม่ มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ตามด้วยรุ่น 318d ลดกำลังของเครื่องยนต์ 2000 ซีซี ดีเซล ลงมาอยู่ที่ 143 แรงม้า และรุ่นประหยัดอย่าง 316d ที่มีกำลังหล่นลงเหลือ 116 แรงม้า ก็มีขายด้วยเช่นกัน แต่ต้องรอปลายปี 2012

หลังจากเปิดตัวแล้ว บีเอ็มดับเบิลยูพร้อมส่งซีรีส์ 3 ใหม่ ลุยตลาดยุโรปในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วน ราคาน่าจะเริ่มต้นที่ 35,350 ยูโร หรือ 1.41 ล้านบาท แพงกว่ารุ่นเดิมเพียงเล็กน้อย ส่วนรุ่นท็อป 335i ราคาขยับขึ้นมาอยู่ที่ 43,600 ยูโร หรือ 1.74 ล้านบาท


Mercedes-Benz B-Class เสริมทางเลือกอเนกประสงค์

Mercedes-Benz B-Class รถอเนกประสงค์
หลังเผยโฉมและอุ่นเครื่องกับการเปิดตัวคันจริงของบี-คลาสโฉมใหม่ใน งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2011 เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในตอนนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมแล้วสำหรับการส่งรถยนต์รุ่นนี้ออกลุยในตลาดรถยนต์ อเนกประสงค์

บี-คลาสใหม่เป็นรถยนต์ที่แชร์พื้นฐานของพื้นตัวถังแบบรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ามาจากเอ-คลาส แต่ทว่าในแง่ของจำนวนรุ่นที่ทำตลาด เมื่อรวมรุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมาในครั้งนี้เข้าไปด้วยแล้วมีเพียงแค่ 2 เจนเนอเรชั่น ขณะที่เอ-คลาสมีขายแล้ว 2 เจนเนอเรชั่นและกำลังรอเปิดตัวรุ่นที่ 3 ในปีหน้า


จุดเริ่มต้นของบี-คลาส คือ การอัพสเกลตลาดให้กับเอ-คลาสด้วยตัวถังที่มีความอเนกประสงค์มากกว่า และให้ความคล่องตัวสำหรับการใช้งานในเมือง โดยรุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 2004 ส่วนรุ่นปัจจุบันเพิ่งเปิดตัวที่งาน IAA 2011 และเตรียมขายในตลาดปลายปีนี้

บี-คลาสใหม่มาพร้อมกับตัวถังที่กะทัดรัด และให้ความคล่องตัวด้วยความยาวเพียง 4,359 มิลลิเมตร กว้าง 1,786 มิลลิเมตร สูง 1,557 มิลลิเมตร โดยรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบที่อิงอิทธิพลมาจากรถยนต์รุ่นใหญ่อย่าง CLS โดดเด่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน-Cd เพียง 0.26 ขณะที่ความอเนกประสงค์ในการใช้งานยังตอบสนองได้เต็มที่ด้วยพื้นที่ความจุของ ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายในระดับ 488-616 ลิตรขึ้นอยู่กับการปรับเบาะนั่งหลัง


หน้าที่ในการขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีให้ สัมผัสหลากหลาย โดยเริ่มจากเบนซิน 4 สูบบล็อกใหม่ในรหัส M270 มาพร้อมระบบไดเร็กต์อเนเจ็กชั่น มีความจุเพียง 1600 ซีซี แต่ทว่าตอบสนองการขับเคลื่อนได้อย่างเร้าใจด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้าในรุ่น B180 ตามด้วยรหัส B200 ที่มีกำลังขับเคลื่อน 156 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดอยู่ในระดับ 20.4 และ 25.4 กก.-ม. ที่ 1,250 รอบ/นาที

ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซลเป็นบล็อกใหม่เช่นกันในรหัส OM651 เป็นแบบ 4 สูบ 1800 ซีซี แต่มีกำลังให้เลือกตั้งแต่ 109 แรงม้าสำหรับรุ่น B180CDI และ 136 แรงม้าในรหัส B200CDI และแรงบิดสูงสุดอยู่ในระดับ 25.4 กก.-ม. ที่ 1,400 รอบ/นาที และ 30.1 กก.-ม. ที่ 1,600 รอบ/นาที


ระบบเกียร์พื้นฐานของบี-คลาส เป็นแบบธรรมดา 6 จังหวะ แต่ถ้าอยากสบายก็มีทางเลือกใหม่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ 7G-DCT ใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นแบบอัตโนมัติ Dual-Clutch

ในเรื่องระบบความปลอดภัยมากันเต็มพิกัด นอกจากอุปกรณ์มาตรฐานอย่างเอบีเอส อีบีดี และบีเอแล้ว บี-คลาสยังติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัวหรือ ESP-Electronic Stability Programme ตามด้วยระบบ Collision Prevention Assist ซึ่งระบบจะแจ้งเตือนผู้ขับทั้งเสียงและแรงสั่นสะเทือนเพื่อให้ผู้ขับรับทราบ ถึงสิ่งกีดขวางที่อยู่ข้างหน้าเพื่อจะได้เบรกและหักหลบเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดการชน

Monday, October 24, 2011

Suzuki Swift Sport เอาใจคนรักความสปอร์ต

Suzuki Swift Sport
ตอนที่ซูซูกิเปิดตัวต้นแบบ (ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามันคือคันจริงนั่นแหล่ะ แต่ปรับนิดนี่หน่อย) บรรดาแฟนๆ ของสวิฟต์ทั่วโลกต่างลูบปาก เพราะอีกไม่นานคงจะได้สัมผัสกับความสปอร์ตของซับคอมแพกต์คันสวยรุ่นนี้ แต่ที่ไหนได้ พอคันจริงเปิดตัวออกมา ปรากฎว่ายังเป็นตัวถังสำหรับตลาดยุโรปเท่านั้น ซูซูกิไม่ได้บอกว่าจะมีการส่งออกขายในตลาดภูมิภาคอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีหวังในตอนนี้ แต่อนาคตไม่แน่ วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับสวิฟต์ สปอร์ตกัน ซึ่งตัวถัง 3 ประตูนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นกับสวิฟต์ใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ในรุ่นที่แล้ว (รุ่นที่ยังขายอยู่ในบ้านเรา) ซูซูกิก็เปิดตัวรุ่น 3 ประตูออกมาทำตลาดเช่นกัน แต่ก็ค่อนข้างจำกัดตลาดพอสมควร ซึ่งเป็นเพราะใน ตลาดแห่งอื่นๆ โดยเฉพาะในญี่ปุ่น รถยนต์ตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 ประตูเริ่มได้รับความนิยมลดลง และรถยนต์หลายๆ รุ่นที่เคยมีขายตัวถังนี้ทั้งแบบ 3 และ 5 ประตู พอเป็นรุ่นใหม่ก็เหลือแค่รุ่น 5 ประตูเพียงอย่างเดียว



สำหรับสวิฟต์ สปอร์ตมาพร้อมกับคอนเซปต์ที่ชัดเจนในการนำเสนอความแปลกใหม่และแตกต่างในด้านการขับขี่ที่เป็นอีกด้านของรุ่น 5 ประตู ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ และบุคลิกในการขับ ซึ่งตอบสนองการขับในแบบสปอร์ตได้ดีขึ้น

ในแง่ของหน้าตามีการปรับรูปลักษณ์เล็กน้อยจากรุ่น 5 ประตูไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าขนาดใหญ่ขึ้น ติดตั้งสปอยเลอร์รอบคัน พร้อมกับปรับลดความสูงของตัวรถ ซึ่งนอกจากจะสร้างความสวยโฉบเฉี่ยวให้กับรูปลักษณ์ภายนอกแล้วยังช่วยใน เรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ และการทรงตัวที่ดีในขณะแล่นด้วยความเร็วสูง





มิติตัวถังในรุ่น 3 ประตูอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรุ่น 5 ประตูด้วยความยาว 3,890 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,510 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,430 มิลลิเมตร ส่วนระบบช่วงล่างมีการปรับเซตทั้งมุมโท และแคมเบอร์ รวมถึงการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบช่วงล่างทั้งด้านหน้าซึ่งเป็น แม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังในแบบทอร์ชั่นบีม ทั้งการเพิ่มค่า Spring rate ให้กับคอยล์สปริง และโช้กอัพที่แข็งขึ้น ขณะที่ล้อจากโรงงานเป็นขนาด 17 นิ้วจับคู่กับยางขนาด 195/45R17

สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดมีแค่ทางเลือกเดียว เป็นรหัส M16A เบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 1600 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT ซึ่งมีการปรับเพิ่มระยะยกของวาล์ว รีดกำลังให้ขยับจาก 123 แรงม้าในรุ่นเดิมมาเป็น 134 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดขยับจาก 15.1 กก.-ม. มาเป็น 16.3 กก.-ม. ส่งผลต่อสมรรถนะทั้งตีนต้นและตีนปลาย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมาในตอนนี้



ส่วนในเรื่องของระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียลดลงจากเครื่อง รุ่นเดิม 11% ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 165 กรัมต่อ 1 กิโลเมตรมาเป็น 147 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร พร้อมกับมีการปรับปรุงท่อไอเสียให้ตอบสนองต่อความเร้าใจด้วยเสียงคำรามที่ดุ ดันขึ้น ส่วนระบบเกียร์เป็นธรรมดา 6 จังหวะที่มีการปรับอัตราทดที่เน้นความเร้าใจในการขับและรีดสมรรถนะของ เครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่

ในยุโรปจะเริ่มทำตลาดในปลายปีนี้แน่นอน ส่วน ตลาดแห่งอื่นๆ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าจะมีสิทธิ์ไหม เพราะว่ารุ่นที่แล้ว ซูซูกิส่งขายใน 40 ประเทศทั่วโลก ส่วนในรุ่นใหม่นี้ไม่รู้ว่า จำนวนตลาดจะเพิ่มขึ้นหรือว่าลดลง

Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) eco car 4 ประตู

 Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) eco car 4 ประตู
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานเปิดตัว "นิสสัน อัลเมร่า ใหม่" อี โคคาร์ 4 ประตูรุ่นแรกของประเทศไทย พัฒนาต่อยอดจากรุ่นพี่ “มาร์ช” บนโครงสร้าง V-Platformเดียวกัน ชูจุดเด่นการผสมผสานความหรูหราและความประหยัด ด้วยรูปลักษณ์ตัวถังขนาดใหญ่ พื้นที่ภายในกว้างขวาง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เคาะราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 429,000-599,000 บาท


นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ นับเป็นรถรุ่นที่ 2 ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้าง V-Platform ผสานแนวคิดในการออกแบบที่แตกต่างระหว่าง “ความหรูหรา” และ “ความประหยัด” โดดเด่นด้วยมิติตัวถังขนาดใหญ่เกินคาดเมื่อเปรียบเทียบกับรถซับคอมแพคทั่วไป ขนาดยาว 4,425 มม. กว้าง 1,695 มม. และสูง 1,500 มม.

รูปลักษณ์ภายนอกใช้เส้นสายการออกแบบที่ดูทรงพลังคล้ายคลึง กับสรีระกล้ามเนื้อของมนุษย์ รูปทรงด้านข้างของตัวรถเน้นความปราดเปรียวแบบสปอร์ต ไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ขนาดใหญ่ กระจังหน้าและที่เปิดประตูแบบโครเมียม พร้อมสปอยเลอร์และไฟเบรกแบบ LED ถูกติดตั้งในทุกรุ่น ส่วนล้ออัลลอยลายสปอร์ตใช้ขนาด 15 นิ้ว และยางหน้ากว้างซีรีส์ 185/65 R15


ภายในห้องโดยสารเน้นความสะดวกสบาย มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางด้วยขนาดความยาว 1,828 มม. โดดเด่นด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ Intelligent key พร้อมปุ่มเปิดฝากระโปรงท้ายรถบนรีโมท และปุ่ม Push Start สะดวกสบายในการเข้า-ออก สตาร์ท ดับเครื่องยนต์ และล็อครถได้เพียงนิ้วสัมผัส พวงมาลัย 3 ก้านดีไซน์สปอร์ตพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง หน้าปัดเรืองแสงแบบ Fine Vision Meter มี Multi Display ที่ให้ข้อมูลการขับขี่และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ด้านความบันเทิงใช้วิทยุขนาด 2 DIN มาพร้อมฟังก์ชัน CD, MP3, วิทยุ และช่องต่อ AUX ด้านระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิและทิศทางลมในห้องโดยสารได้ตามความต้องการ และปิดท้ายด้วยพื้นที่ความจุสัมภาระด้านหลังขนาด 490 ลิตร


สำหรับขุมพลังชูความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยี “เพียว ไดรฟ์” เครื่องยนต์ยกชุดมาจากรุ่นพี่ "มาร์ช" ขนาด 1.2 ลิตร ขนาด 3 สูบ รหัส HR12DE ให้กำลังสูงสุด 58 กิโลวัตต์ หรือ 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ระบบ ขับเคลื่อนมีให้เลือกแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือ CVT (Continuously Variable Transmission) พร้อมชุดเกียร์เสริม Sub-planetary gearbox และระบบหยุดการเดินเบา Idling stop เพื่อตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดหยุดนิ่ง ส่วนการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยที่ 20 กม./ลิตร ตามผลการทดสอบมาตรฐานยุโรป UNECE Reg. 101 Rev. 1 COMBINE MODE NEDC และการคายไอเสียปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 120 กรัม./กม.


ด้านความปลอดภัยตัวถังผ่านการรองรับจาก UNECE regulations 94 และ 95 (UN Economic Commission of Europe) โดยเป็นลักษณะ Zone Body ออกแบบให้ส่วนหน้าและส่วนหลังของตัวถังรถสามารถยุบตัวได้เมื่อเกิดการชน เพื่อดูดซับแรงหรือ Crushable Zone และส่วนกลางตัวรถเป็นแบบ restraint zone หรือโครงสร้างที่ไม่ยุบตัวเพื่อป้องกันผู้ขับขี่และผู้โดยสารเมื่อเกิดการชน ส่วนระบบเบรกมาครบทั้ง ABS, EBD และBAพร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า

นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ มีให้เลือก 6รุ่น 6 สี ได้แก่ สีน้ำตาล Greyish Bronze, สีขาว White Solid, สีเงิน Brilliant Silver, สีดำ Black Star, สีแดง Burning Red และสีน้ำเงิน Dark Blue โดยแบ่งรุ่นและราคา ดังนี้

รุ่นราคา (บาท)
1.2 VL CVT599,000
1.2 V CVT563,000
1.2 ES CVT523,000
1.2 E CVT489,000
1.2 E MT455,000
1.2 S MT429,000

หมายเหตุ : รุ่น 1.2S มีให้เลือกเพียง 3 สี (สีเงิน Brilliant silver, สีดำ Black Star, สีขาว White Solid)



Chevy Colorado 2012 เชฟวี่ โคโลราโด โฉมใหม่ สวยล้ำพลังแรง

Chevy Colorado 2012
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยึดไบเทค บางนา จัดงานเปิดตัวปิกอัพ “เชฟโรเลต โคโลราโด โฉมใหม่” ครั้ง แรกในโลกที่ประเทศไทย ชูรูปลักษณ์ทรงพลัง ออปชันอำนวยความสะดวกครบ เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 และ 2.8 ลิตร 470 นิวตันเมตร ประกบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมลงโชว์รูม 17 ตุลาคมนี้


คโลราโด ใหม่ สร้างสรรค์โดยศูนย์การออกแบบ แอดวานซ์ ดีไซน์ เซ็นเตอร์ของจีเอ็ม ในนครเซาเปาโลของบราซิล โดยด้านหน้าเน้นความบึกบึนของฝากระโปรง เพิ่มสันขอบดูแข็งแกร่ง โคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ถูกติดตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้นเหนือฝากระโปรงหน้า ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ความสมบุกสมบัน

กระจังหน้าดูอัลพอร์ท เอกลักษณ์เฉพาะของเชฟโรเลต ล้อมกรอบด้วยโครเมียม เน้นดีไซน์ลายตาข่ายที่ให้มุมมองแบบสามมิติ นอกจากนี้ยังใช้โครเมียมตกแต่งทั้งก้านจับเปิดประตู ที่เปิดฝาท้าย ฝาครอบกระจกมองข้าง กรอบไฟหน้าส่วนไฟตัดหมอกและไฟท้ายแบบแอลอีดีจะมาในรุ่นท็อป


การออกแบบภายในห้องโดยสารเน้นความลื่นไหล ด้วยดีไซน์แบบดูอัลค็อกพิท ทั้งยังใช้โครเมียมตกแต่งหลายจุด ทั้งคันเกียร์และหัวเกียร์ พวงมาลัย ระบบปรับอากาศ ที่เปิดประตู และสวิทช์เครื่องเสียง ขณะเดียวกันมาตรวัดเรืองแสง และระบบปรับอากาศติดตั้งไฟแอลอีดี สีฟ้าไอซ์บลู (Ice Blue) ดูเหนือระดับ


พวงมาลัยและแผงควบคุมของ Chevy Colorado 2012


นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารของโคโลราโด ใหม่ ยังมีช่องเก็บของมากที่สุดในรถระดับเดียวกัน โดยเอ็กซ์เทนเดดแค็บ มีทั้งหมด 19 ช่อง และครูว์แค็บ มีทั้งหมดถึง 30 ช่องเก็บของ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก อย่างช่องชาร์จไฟและช่องเชื่อมต่อ Auxiliary พร้อมพอร์ทยูเอสบีเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของโคโลราโด รุ่นใหม่

เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 2.8 ลิตร 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรสำหรับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และแรงบิด 440 นิวตัน-เมตรสำหรับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขณะที่เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ดีเซล เทอร์โบ 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร


ระบบความปลอดภัยเพียบ ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบป้องกันการลื่นไถล Traction Control ระบบรักษาสมดุลขณะเบรกในโค้ง CBC รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้า


สำหรับในประเทศไทย เชฟโรเลต โคโลราโด แบ่งการขายเป็น 26 รุ่นย่อย แตกต่างที่เครื่องยนต์ ห้องโดยสาร และความสูงของรถทั้งแบบธรรมดาและยกสูง พร้อมกับรูปแบบตัวถังแบบซิงเกิลแค็บ (ตอนเดียว)เอ็กซ์เทนเดด-แค็บ (ตอนครึ่ง) และครูว์-แค็บ(4ประตู) ตลอดจนระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ


ราคาเชฟโรเลต โคโลราโด โฉมใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร




ตัวถังรุ่นราคา (บาท)
Single Cabมาตรฐาน537,000
Extended Cabมาตรฐาน584,000
Z71 ยกสูง688,000
Z71 4x4737,000
Crew Cabมาตรฐาน659,000
Z71 ยกสูง765,000
Z71 4x4808,000





Sunday, October 16, 2011

New Isuzu Dmax ใหม่ อีซูซุ ดีแมคซ์

New Isuzu Dmax ใหม่ อีซูซุ ดีแมคซ์
“ออลนิว อีซูซุ ดีแมคซ์” มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกล้ำสมัยใหญ่ขึ้นทุกมิติ เปี่ยมด้วยกล้ามเนื้อดูทรงพลัง แต่แฝงไว้ซึ่งความสปอร์ต และเป็นที่สุดของเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ เพื่อค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานดีที่สุด ผ่านการทดสอบจากอุโมงค์ลมชั้นนำทั่วโลก เช่น PININFARINA ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมสำหรับการทดสอบรถสปอร์ต โดยเฉพาะการทดสอบที่อุโมงค์ลม “JAPAN RAILWAY TECHNICAL RESEARCH INSTITUTE” หรือ JR ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมที่ใช้ทดสอบรถไฟหัวกระสุน หรือ “ชินคันเซ็น” (Shinkansen)

รูปลักษณ์แนวสปอร์ตทรงพลัง โฉบเฉี่ยวตั้งแต่หัวจดท้าย ดีไซน์ด้านหน้าแบบ 3 มิติ ชัดลึกในการมองเห็น ไฟหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟท้ายแบบ LED ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ในวงการปิกอัพ

ห้องโดยสารขนาดใหญ่ ดีไซน์แบบ “DELUXE CAPSULE” ลงตัวกับทุกรูปแบบชีวิต ผสาน “UNIVERSAL DESIGN” ศาสตร์แห่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานง่ายสะดวกสบายเหมาะกับคนทุกสรีระ คอนโซลหน้าพร้อมแผงหน้าปัดแบบ “SUPER VISION สุดหรู” พิเศษ! “MULTI-INFORMATION DISPLAY” ขนาดใหญ่ แสดงข้อมูลการขับขี่หลากหลายรูปแบบ พร้อมโหมดภาษาไทย ปรับง่ายเพียงปลายนิ้ว ปรับความสว่างอัตโนมัติ

ด้านระบบปรับอากาศอัตโนมัติดีไซน์ทันสมัย ใช้งานง่าย รวมทุกฟังก์ชั่นไว้ที่จุดเดียว และครั้งแรกแห่งโลกยนตรกรรมกับระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ ด้วยระบบเสียงแบบ “SURROUND SOUND” สูงสุดถึง 8 ลำโพง ลำโพงคู่หน้าขนาดใหญ่พิเศษ FULL-SIZE 6x9 นิ้ว และลำโพง EXCITER ติดตั้งบนเพดาน ให้มิติเสียงสมจริงทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นปรับระดับเสียงตามความเร็วรถโดยอัตโนมัติ สุดหรูด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางให้เลือกอีกด้วย

นอกจากนี้ยังสร้างมาตรฐาน ใหม่ด้วย “ISUZU INSIGHT” ที่นำเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อช่วยประมวลผลและวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่แบบ เฉพาะตัว ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่สามารถเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพการขับขี่ให้ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

ในส่วนเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ 2500 Ddi VGS TURBO หรือเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที พร้อมปรับประสิทธิภาพเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS TURBO ให้รีดกำลังได้สูงสุด 177 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์ 2500 Ddi TURBO ยังเป็น 116 แรงม้า เหมือนเดิม

ระบบส่งกำลังใหม่ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม “REV-TRONIC” เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจ และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบ “SPORT-SHIFT” ช่วงชักสั้น เข้าเกียร์ง่าย ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลทุกช่วงความเร็ว

“อีซูซุ ดีแมคซ์” โฉมใหม่ ขยายขนาดฐานล้อ ความกว้างช่วงล้อ พร้อมจัดวางตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ให้อยู่เยื้องหลังล้อคู่หน้า ช่วยการกระจายน้ำหนักที่สมดุลขึ้น พร้อมแชสซีส์ขนาดใหญ่สุดในรถระดับเดียวกัน แข็งแกร่งกว่าเดิมถึง 42% พร้อมออกแบบช่วงล่างใหม่ ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง ผสานช่วงล่างหลังแบบแหนบขนาดยาวพิเศษ (LONG SPAN) ช่วยให้การยึดเกาะถนน ทรงตัวเป็นเยี่ยมในทุกสภาวะทั้งรถเปล่าหรือบรรทุก

ด้านระบบความปลอดภัยแบบป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ (ACTIVE SAFETY) เบรก ABS พร้อม EBD และ BA เสริมด้วยระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว TCS มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยหม้อลมเบรกขนาดใหญ่พิเศษ 10.5 นิ้ว พร้อม TIED-BAR ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 300 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์แบบลูกสูบคู่

ตลอดจนระบบความปลอดภัยแบบป้องกันขณะเกิดอุบัติเหตุ (PASSIVE SAFETY) อาทิ โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบเหล็กกล้า HIGH TENSILE STRENGTH STEEL ผลิตด้วยเทคโนโลยี TAILOR WELDED BLANK โดยใช้เหล็กที่หนาพิเศษ เสริมความแข็งแกร่งให้ห้องโดยสารในจุดที่ดูดซับแรงกระแทกได้ดีที่สุด และใหม่กับตัวถังแบบ “ซูเปอร์ สเปซแค็บ” (SUPER SPACECAB) บานแค็บเปิดได้(ตู้กับข้าว)


ขณะที่แกนพวงมาลัย และแป้นเบรกแบบยุบตัวได้ เข็มขัดนิรภัยแบบมีกลไกดึงกลับอัตโนมัติ (PRETENSIONER SAFETY BELTS) ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (AUTO DOOR-LOCK) เมื่อรถวิ่งถึงความเร็วประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระบบป้องกันกระจกหนีบ (WINDOW JAM PROTECTION) ด้านคนขับ

นอกจากนี้ อีซูซุยังจัดรุ่นสปอร์ตออฟโรด “ดีแมคซ์ วี-ครอส” (D-Max V-Cross) ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อ ตอบสนองชีวิตสไตล์ “ACTIVE ADVENTURE” พร้อมลุยได้กับทุกสภาวะด้วย “TERRAIN COMMAND” ปรับโหมดขับขี่ได้ตามใจสั่ง ทั้ง 4 ล้อ และ 2 ล้อ ปฏิวัติช่วงล่างใหม่ สู่สมรรถนะออฟโรดขนานแท้ ด้วยระยะยืดช่วงล้อที่สูงพิเศษ ลุยสะใจทุกสภาวะ แต่นุ่มนวลน่าขับตามแบบฉบับอีซูซุ ด้วยช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง ผสานช่วงล่างหลังแบบ OVER SLUNG แหนบเหนือเพลาขนาดยาวพิเศษ (LONG SPAN)

  ราคา อีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่
     
รุ่นราคา
V-Cross 2 ประตู732,000 - 813,000
V-Cross 4 ประตู808,000 - 994,000
Hi-Lander 2 ประตู658,000 - 778,000
Hi-Lander 4 ประตู738,000 - 922,000
Cab4635,000 - 707,000
Spacecab562,000 - 671,000
Spark465,000 - 535,000

เหนืออื่นใดเพื่อเป็นการแก้ปัญหาเรื่องศักยภาพการผลิต กลุ่มอีซูซุในประเทศไทยยังลงทุนสร้างโรงงงานผลิตรถปิกอัพแห่งใหม่เพื่อเพิ่ม กำลังการผลิตให้สูงขึ้น ด้วยเงินลงทุนรวม 6,500 ล้านบาท เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดรถยนต์ในเมืองไทย และความต้องการด้านการส่งออกที่เพิ่มขึ้น

โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะสร้าง ขึ้นในพื้นที่ของโรงงานผลิตรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ของบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ โดยมีแผนที่จะเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2555 และเมื่อรวมกับกำลังการผลิตของโรงงานเดิมแล้วจะสามารถผลิตรถปิกอัพ รวมทั้งแบบ CKD ได้มากกว่า 4 แสนคันต่อปี

Popular Posts