Thursday, June 28, 2012

Nissan Teana 200XL Sports Series Navi



นิสสัน เทียน่า เก๋งขนาดกลางกึ่งใหญ่จากค่ายนิสสัน รุ่น Sports Series มีทั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี และ 6สูบ V6 2,500 ซีซี สำหรับวันนี้เราจะมารีวิวรุ่นท๊อปของเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี 200XL Sports Series Navi ลองมาดูกันว่าเทียน่ารุ่นใหม่นี้ มีอะไรที่แตกต่างจากรุ่นเดิมบ้าง รวมทั้งสมรรถนะในการขับขี่และการทรงตัวจะเยี่ยมแค่ไหน



Exterior
เทียน่ารุ่นใหม่นี้เน้นความสปอร์ตให้ชัดเจนขึ้นด้วยการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ทั้งชิ้น ช่องดักลมด้านล่างลายรังผึ้งช่วยให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ประกบด้วยสปอทไลท์ทรงกลมและช่องสีดำคาดด้วยคิ้วโครเมียม

กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ตามสไตล์รถหรู เปลี่ยนใหม่เป็นแบบซี่ตรง จากของเดิมที่โค้งนิดๆ และเพิ่มขอบโครเมียมด้านข้าง ทำให้รถดูเตี้ยลงเล็กน้อย ประกบด้วยโคมไฟหน้าทรงพริ้วขนาดใหญ่ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเพชร หรูหราเหนือระดับ สีภายนอกของรุ่น Sports Series มีให้เลือกสองสีคือ สีขาว White Pearl และสีดำ Black Star



เปลี่ยนล้อแม็คลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว (รุ่น 250XV ให้ล้อแม็ค 17 นิ้ว) ลาย 5 ก้านใหญ่และมีก้านเล็กแซมด้านข้าง ยางขนาด 205/65 R16 พร้อมสเกิร์ตข้างที่มีเส้นสายที่ดูสปอร์ตมากขึ้น



Interior
ไฟท้ายทรงเดิมแต่เปลี่ยนรายละเอียดภายในใหม่ โดยเปลี่ยนสีโคมไฟเบรคจากเดิมสีแดงเป็นสีขาวและใช้หลอดไฟสีแดง มีสปอยเลอร์ชิ้นเล็กบนฝากระโปรงท้ายดูสปอร์ตขึ้น กันชนหลังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก้มลงไปดูเห็นท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวาแล้วน่าเสียดายที่หลบอยู่ใต้กันชน ถ้าออกแบบให้โชว์ปลายท่อสักหน่อยก็น่าจะเพิ่มความสปอร์ตได้อีกพอสมควร



ในรถนิสสัน เทียน่าทุกรุ่นมีระบบ Keyless Entry ที่นิสสันเรียกว่า Intelligent Key ไม่ต้องไขกุญแจหรือกดรีโมทให้เสียเวลา แค่พกกุญแจไว้แล้วกดปุ่มตรงที่เปิดประตูเพื่อปลดล็อคก็เข้าไปนั่งในรถได้แล้ว โดยปุ่มล็อคหรือปลดล็อคนี้ ติดตั้งบนที่เปิดประตูทั้งฝั่งคนขับและฝั่งคนนั่งหน้า จึงให้ความสะดวกสบายแบบสุดๆ



นอกจากการล็อคและปลดล็อครถแล้ว หากพกกุญแจรีโมทไว้ก็สามารถเปิดฝากระโปรงหลังด้วยการสัมผัสเบาๆ ที่สวิทช์ไฟฟ้าซึ่งซ่อนอยู่ใต้คิ้วโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียน แถมการเปิดก็ยังเบาแรงเพราะมีโช้กอัพช่วยผ่อนแรงอีกด้วย เปิดฝากระโปรงท้ายแล้วจะตื่นเต้นกับพื้นที่เก็บของที่ทั้งกว้างและลึก โดยนิสสันระบุว่ามีความจุถึง 506 ลิตรเลยทีเดียว

กลับมาเรื่องภายในของรถรุ่นนี้กันต่อ ในรุ่นปกติภายในจะเป็นสีเบจที่ดูหรูหรา ส่วนใน Sports Series จะเน้นความสปอร์ตเข้มขรึมด้วยเบาะหนังสีดำ แอบหรูด้วยลายไม้สีเข้มที่ดูดีและเข้ากับการตกแต่งโดยรวม แซมด้วยสีเมทัลลิคตามจุดต่างๆ ช่วยให้ห้องโดยสารดูไม่มืดจนเกินไปนัก และเนื่องจากห้องโดยสารที่กว้างขวางอยู่แล้ว การตกแต่งด้วยโทนสีดำจึงไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด



ส่วนที่ต้องสัมผัสกับร่างกายบ่อยๆ อย่างพวงมาลัยและด้านหน้าของเบาะนั่ง หุ้มด้วยหนังแท้เนื้อละเอียดจับแล้วนุ่มมือ โชว์ตะเข็บด้วยด้ายสีออกฟ้าๆ พวงมาลัยทรงเดิมหุ้มหนังแท้สีดำปรับระดับสูง-ต่ำได้ มี ครูสคอนโทรลเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น โดยปุ่มอยู่ฝั่งขวา และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงอยู่ฝั่งซ้าย แผงประตูทั้ง 4 บานมีที่เท้าแขนบุนวมอ่อนนุ่มไม่เจ็บข้อศอก ช่องเก็บของที่ประตูหน้าแคบไปหน่อย วางขวดหรือแก้วน้ำไม่ได้ ใส่ได้แค่เอกสารหรือของกระจุกกระจิกเท่านั้น



มาตรวัดเรืองแสง Fine Vision ขับกลางวันก็สว่างชัดเจน ขับกลางคืนก็มีปุ่มหรี่ความสว่างให้พอเหมาะ ด้านล่างของมาตรวัดความเร็วมีจออเนกประสงค์ MID แสดงข้อมูลได้หลายอย่าง ควบคุมโดยปุ่มสี่เหลี่ยม 2 ปุ่มที่อยู่ข้างขวาของชุดมาตรวัด



นั่งในตำแหน่งคนขับแล้วมองเยื้องลงมาด้านล่างขวาของคอนโซล จะเห็นช่องสำหรับเสียบกุญแจ ถัดลงมาเป็นที่ชุมนุมของปุ่มควบคุมระบบต่างๆ 6 ปุ่ม ไล่จากซ้ายไปขวาประกอบด้วย ปุ่มเปิดฝาที่เติมน้ำมัน, เปิดฝากระโปรงท้าย, เปิด-ปิดม่านไฟฟ้าที่กระจกหลัง, เว้นวรรคไปหนึ่งปุ่ม, ปุ่มปรับระดับความสูง-ต่ำของไฟหน้าซึ่งมีโหมดเปิด-ปิดอัตโนมัติตามสภาพแสง และปุ่มเปิด-ปิดการทำงานของระบบเนวิเกเตอร์



ย้ายมาดูที่คอนโซลกลางกันบ้าง รถรุ่นนี้มีการติดตั้งจอแสดงการทำงานของระบบต่างๆ พร้อมปุ่มควบคุมคล้ายรุ่นเดิม โดยปุ่มที่อยู่ใต้จอใช้ควบคุมระบบหลักๆ เช่น ข้อมูลของตัวรถ สถานะของตัวรถในปัจจุบัน เช่น ระบบแอร์หรือเครื่องเสียง มีปุ่มปรับความสว่างหรือปิดจอก็ได้


ถ้าจะเข้าโหมดเนวิเกเตอร์ต้องกดปุ่ม NAVI ก่อน แล้วใช้รีโมทในการควบคุมเพราะจอรุ่นนี้ไม่ใช่จอสัมผัส ซึ่งตรงนี้ทำให้ใช้งานยากไปนิด แต่ถ้ามองในด้านความปลอดภัย คนขับก็ไม่ควรเอื้อมมือไปกดปุ่มขณะขับอยู่แล้ว

เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง จอที่คอนโซลกลางจะแสดงภาพจากกล้องมองหลังมุมกว้าง ซึ่งติดซ่อนไว้ใต้คิ้วเหนือป้ายทะเบียน มีเส้นกะระยะในจอภาพและเสียงสัญญาณเตือนเมื่อเข้าใกล้วัตถุด้านหลัง Back Sensor 4 จุด ลองดูแล้วพบว่ามีความแม่นยำพอสมควร เมื่อถอยหลังถึงโซนสีแดงแล้วยังเหลือช่องว่างอีกประมาณ 30 ซม.



ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง MP3 ซีดีเชนเจอร์ 6 แผ่น และล่างสุดเป็นปุ่มสำหรับระบบแอร์ดิจิตอลแยกซ้าย-ขวา คอนโซลเกียร์ออกแบบเรียบๆ แต่หรูหรา โชว์ลายไม้สีเข้มที่ดูเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี ด้านบนคันเกียร์มีที่เขี่ยบุหรี่และที่จุดบุหรี่ซึ่งเป็นปลั๊กไฟ 12 โวลท์ ด้านล่างคันเกียร์มีที่วางแก้วพร้อมฝาปิดดูเรียบร้อย

คอนโซลกลางต่อเนื่องคอนโซลเกียร์ออกแบบได้เรียบหรูดูดี เพราะไม่มีเบรคมือมาเกะกะ โดยเบรคมือ (ซึ่งจริงๆ เรียกว่า Parking Brake) ย้ายไปไว้ด้านซ้ายมือของแป้นเบรค เมื่อจะใช้งานก็ใช้เท้าซ้ายเหยียบ จะปลดออกก็เหยียบอีกครั้ง



อีกหนึ่งความสะดวกสบายที่รถรุ่นนี้ให้มา คือ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง กระดกหน้า-หลังได้ และมีที่ดันหลังแบบกลไก ส่วนเบาะคนนั่งหน้าปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง หมอนรองศีรษะและเข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำได้



คราวนี้ลองย้ายไปนั่งบนเบาะหลังพบว่ากว้างขวางนั่งสบาย มุมเอนของพนักพิงกำลังพอดีไม่ตั้งชันจนเกินไป และแม้จะยังไม่ได้ติดฟิล์มก็ไม่ร้อน เพราะมีช่องแอร์สำหรับคนนั่งหลังและม่านไฟฟ้าที่กระจกหลังมาให้พร้อม ที่เท้าแขนตรงกลางมีที่วางแก้วน้ำพร้อมฝาปิด พนักพิงเบาะหลังพับไม่ได้ แต่ตรงที่เก็บที่เท้าแขนมีช่องทะลุไปที่เก็บของด้านหลังได้ ด้านหลังเบาะคู่หน้ามีช่องไว้ให้ใส่เอกสารด้วย

Engine & Transmission

สำรวจรอบคันทั้งภายนอกและภายในแล้วก็ถึงเวลาออกไปลองขับ การสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่เหยียบเบรคแล้วกดปุ่มสตาร์ท Push Start Buttonเครื่องยนต์ก็ติดพร้อมสำหรับการขับเคลื่อน เมื่อปิดกระจกเปิดแอร์แล้ว เสียงเครื่องยนต์เงียบมากๆ รวมทั้งการสั่นสะเทือนก็แทบไม่มีให้รู้สึก เมื่อความเร็วถึงประมาณ 24 กม./ชม. ประตูทุกบานก็จะล็อคให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับคนขี้ลืมมาก



รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์รหัส MR20DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว มีระบบแปรผันวาล์ว CVTC ความจุกระบอกสูบ 1,997 ซีซี กระบอกสูบ 84.0 มม. ช่วงชัก 90.1 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 10.0:1 มีกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที

เท้าขวาเหยียบเบรค มือซ้ายบีบปุ่มบนหัวเกียร์แล้วดึงลงมาที่ตำแหน่ง D คลายเท้าขวาออกจากแป้นเบรคมาค่อยๆ กดคันเร่ง รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวลตามแรงในการกดคันเร่ง และลื่นไหลไร้อาการสะดุดเนื่องจากนิสสัน เทียน่าทุกรุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ซึ่งทางนิสสันระบุว่าสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้กว่า 700 รูปแบบ ตามลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่



ด้านข้างหัวเกียร์มีปุ่ม Sport ลองใช้ดูแล้วพบว่าเกียร์จะเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงช้าลง แม้ผ่อนคันเร่งแล้วเกียร์ก็ยังไม่เปลี่ยนขึ้นเกียร์สูง ทำให้ลากรอบสูงได้ต่อเนื่อง สร้างความกระฉับกระเฉงได้มาก เรียกได้ว่าเปลี่ยนบุคลิกของรถไปเลย โดยในรอบสูงๆ จะมีเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเข้ามาบ้าง สร้างความเร้าใจได้อีกแบบ

ลองกดคันเร่งแบบสุดๆ จับเวลาคร่าวๆ 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาประมาณ 11-12 วินาที เมื่อกดคันเร่งสุดตอนออกตัว รอบเครื่องยนต์จะขึ้นไปหยุดนิ่งแถวๆ 6,250 รอบต่อนาที ส่วนเข็มวัดความเร็วจะกวาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเร็วปลายดูจาก GPS ประมาณ 180 กม./ชม. ถือว่าน่าพอใจกับรถคันใหญ่และเครื่องยนต์ไซส์กลาง ซึ่งแม้ไม่ได้แรงจัดจ้าน แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน ยิ่งได้เกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT มาช่วยเสริม เปลี่ยนเกียร์โดยรอบไม่ตก ทำให้อัตราเร่งมีความต่อเนื่อง



ต่อไปลองวัดอัตราสิ้นเปลืองแบบขับทางไกล ใช้ทางด่วนต่อเนื่องมอเตอร์เวย์ขับยาวๆ ไปถึงพัทยา ใช้ความเร็วประมาณ 110 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่แถวๆ 2,250 รอบ/นาที ขับสบายๆ ไม่ต้องเกร็งเท้าขวาเพราะมีครูสคอนโทรลมาให้ใช้งานด้วย กดปุ่มเปิดระบบก่อน จากนั้นเร่งให้ได้ความเร็วที่ต้องการแล้วกดปุ่ม SET ห้องโดยสารเงียบกริบ แทบไม่มีเสียงภายนอกเข้ามารบกวน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะนิสสันติดตั้งฉนวนกันเสียงรบกวนไว้รอบคันนั่นเอง

กดปุ่มเลือกให้แสดงอัตราสิ้นเปลืองแบบ Real Time พบว่าป้วนเปี้ยนแถว 14-15 กม./ลิตร และเมื่อถึงจุดหมายได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.3 กม./ลิตร อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เพราะรถคันใหญ่ และใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ได้ด้วย ก็จะช่วยประหยัดได้อีกพอสมควร ถ้าคำนวณจากราคา E20 ลิตรละ 33.68 บาท ก็จะเสียค่าน้ำมันกิโลเมตรละ 2.53 บาท

ปิดท้ายด้วยเรื่องของระบบช่วงล่างและเบรครวมทั้งพวงมาลัย เห็นรถคันใหญ่แบบนี้ แต่การบังคับควบคุมก็คล่องแคล่วด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ปรับน้ำหนักตามความเร็ว ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ที่ความเร็วต่ำพวงมาลัยเบาหมุนเลี้ยวได้รวดเร็ว และเมื่อใช้ความเร็วสูงพวงมาลัยจะหนัก ช่วยให้การเปลี่ยนเลนมั่นคงไม่วูบวาบ รวมทั้งตอนใช้ความเร็วสูงๆ ก็ให้ความมั่นคงสูง

ระบบช่วงล่างอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังมัลติลิงค์ เท่าที่ได้ลองขับบนถนนสภาพต่างๆ พบว่าให้ความนุ่มนวล การดูดซับแรงกระแทกทำได้ดี น่าจะเป็นเพราะแก้มยางที่ค่อนข้างสูงด้วยส่วนหนึ่ง และที่ความเร็วสูงก็ค่อนข้างนิ่ง ไม่มีอาการวอกแวกให้รู้สึก ระบบเบรคแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อมีประสิทธิภาพการเบรคที่น่าพอใจ หยุดได้ดีแม้เบรคที่ความเร็วสูง



นิสสัน เทียน่า 200XL Sports Series Navi ภายนอกและภายในใส่ความสปอร์ตและอุปกรณ์มาตรฐานอำนวยความสะดวกที่มากกว่ารถรุ่นอื่นๆในระดับเดียวกัน ห้องโดยสารกว้างขวางให้ความผ่อนคลาย สบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เครื่องยนต์อยู่ในระดับกลางๆ รองรับ E20 ที่ราคาถูกลงมาอีกนิด เสริมประสิทธิภาพด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ช่วยให้อัตราเร่งต่อเนื่องและนุ่มนวล กับราคาที่ตั้งไว้สูสีรถคอมแพ็กต์รุ่นท๊อป 1.363 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าครับ

สำหรับใครที่อยากดู สเปกอย่างละเอียดของ นิสสัน เทียน่า หรือดาวน์โหลด e-brochure ดูรายละอียดเพิ่มเติมได้ที่ www2.nissan.co.th/teana

Wednesday, June 27, 2012

Volvo S60 Polestar Concept

หลังจากที่ถูกเปิดตัวออกมาให้คนทั่วโลกได้สัมผัสผ่านทางสายตา ถึงตอนนี้ ต้นแบบรุ่น Polestar ของวอลโว่ ที่พัฒนามาจากซีดานรุ่น S60 ก็กำลังถึงจุดที่เตรียมกลายเป็นความจริง เมื่อมีการยืนยันจากภายในบริษัทวอลโว่ คาร์แห่งสวีเดนแล้วว่า ต้นแบบคันนี้ถูกขายไปแล้วให้กับลูกค้ารายหนึ่งด้วยราคา 9 ล้านบาท
S60 Polestar เป็นต้นแบบที่ถูกพัฒนาเพื่อจัดแสดงให้เห็นว่าถ้าคิดจะทำรถให้แรง วอลโว่ก็สามารถทำได้ ซึ่งโปรเจ็กต์นี้ทางวอลโว่ร่วมมือกับสำนักแต่งรถยนต์ของวอลโว่อย่าง Polestar เพื่อจัดแสดงในงาน โกเตนเบิร์ก ซิตี้ เรซ หลังเปิดตัวแล้วปรากฏว่า Polestar ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และทำให้มีลูกค้ารายหนึ่งที่เป็นชาวอเมริกันได้ติดต่อเข้ามาทางวอลโว่พร้อมกับยื่นข้อเสนอซื้อต้นแบบคันนี้ ซึ่งทางวอลโว่ก็ตอบตกลงด้วยวงเงิน 300,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 9 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าวอลโว่จะส่งรถยนต์ต้นแบบคันนี้ให้ได้ก็ต่อเมื่อเสร็จสิ้นการโปรโมทตามโปรแกรมนี้ แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไร
ดูจากภายนอกทั้งหมดดูเหมือนว่าเวอร์ชัน Polestar ก็ไม่ได้แตกต่างจาก S60 ทั่วไปสักเท่าไร นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ทำให้ต่างอยู่ที่ใต้ฝากระโปรงหน้า นั่นคือ การโมดิฟายที่ทำให้ Polestar มีความเร้าใจมากกว่า S60 รุ่นปกติ ด้วยกำลังสูงสุดถึง 508 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 58.6 กก.-ม. ที่ 5,500 รอบ/นาทีจากเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงในรหัส B6304T4 ที่ถูกโมดิฟายเพียบทั้งลูกสูบ แคมชาฟท์ทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ฝาสูบ และเปลี่ยนมาใช้เทอร์โบของ Garret รุ่น 3171
หน้าที่ในการถ่ายทอดกำลังเป็นงานของเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมีการปรับตัวรถให้เป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาด้วยระบบของ Haldex Gen4 XWD และมีการติดตั้งระบบ LSD ที่เพลาท้ายด้วย ขณะที่ตัวรถมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.64 ตัน ซึ่งอาจจะดูมากไปหน่อยสำหรับรถยนต์ซีดานขนาดกลาง แต่อย่าลืมว่าในเมื่อมากันครบทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบาย ตัวเลขขนาดนี้ถือว่าพอรับได้เมื่อทดแทนด้วยจำนวนม้าในคอกที่เพิ่มขึ้นอีกเยอะ
ในส่วนของช่วงล่างก็มีการติดตั้งโช้กอัพใหม่ของ Ohlin และลดความสูงลงจากเดิมอีก 30 มิลลิเมตร ตามด้วยการติดตั้งล้อแม็กขนาด 19 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/30R19 ทำให้ความกว้างช่วงล้อหน้าเพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตร และ 40 มิลลิเมตรที่เพลาด้านหลัง ทำให้การทรงตัวดีขึ้น ส่วนการเบรกเป็นงานของดิสก์หน้าขนาด 380 มิลลิเมตรพร้อมคาลิเปอร์แบบ 6 ลูกสูบของเบรมโบ และขนาด 302 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง

สมรรถนะของตัวรถถือว่าเร้าใจเอาเรื่อง เพราะทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง


Thursday, June 21, 2012

Mercedes-Benz C63 AMG COUPE V. PERFORMANCE PACKAGE PLUS อัพ 487 แรงม้า

AMG COUPE V. PERFORMANCE PACKAGE PLUS
บนซ์ เอ็น.เค. ออโต อิมพอร์ต (BENZ N.K.) จัดการส่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ C63 AMG COUPE เวอร์ชันพิเศษ PERFORMANCE PACKAGE PLUS+ เอาใจสาวกตราดาวเท้าขวาหนัก โดยรีดพลังจากเครื่องยนต์ วี8 ได้ถึง 487 แรงม้า หรือระดับน้องๆ ซูเปอร์คาร์เลยทีเดียว
โดยขุมพลัง วี8 ขนาด 6.3 ลิตร ของ C63 AMG COUPE PERFORMANCE PACKAGE PLUS+ ถูกอัพเกรดพลังขึ้นจากรุ่นมาตรฐานอีก30 แรงม้า หรือจาก 457 เป็น 487 แรงม้า ขณะที่แรงบิดมหาศาลถึง 600 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ SPEEDSHIFT MCT 7 สปีด อัตราเร่งเร้าใจจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 4.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดถูกล็อกไว้ 250 กม./ชม. ขณะเดียวกันยังเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามชอบถึง 4 โหมด ได้แก่ Comford, Sport, Sport+ และ Manual
นอกจากนี้ยังมาพร้อมชุดแต่ง AMG Carbon Fiber รอบคัน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษจากโรงงาน AMG ด้วยชุดโป่งล้อหน้าซ้าย-ขวา ที่ถูกขยายออกให้กว้างขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก รับกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมช่องดักลมด้านข้าง ฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ขึ้น และสันฝากระโปรงดีไซน์โหดเพื่อรองรับเครื่องยนต์ขนาด 6.3 ลิตร สปอยเลอร์ฝาท้ายคาร์บอนเคฟลาน้ำหนักเบา เสริมความดุดันกับ Caliper Brake AMG สีแดง ด้านหน้า 6 Pot พร้อมจานเบรกคาร์บอนเซรามิคขนาดใหญ่ถึง 360มม. Caliper หลัง 4 Pot จานเบรกขนาด 330มม. ตลอดจนช่วงล่าง AMG Sport Plus ชุดท่อไอเสีย AMG Sport Exhaust System และ ล้อแม็ก AMG ขอบ 19 นิ้ว จับคู่กับยาง 235/35/19 ที่ด้านหน้า และ 255/30/19 ที่ด้านหลัง
ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งพิเศษเพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ตด้วยพวงมาลัยหุ้มหนัง Alcantara และเบาะ AMG Racing Seatพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและออปชันแบบเต็มๆ อาทิ ไฟหน้าอัจฉริยะ ILS (Intelligent Light System), จอ Command Online พร้อมเชื่อมต่อฟังก์ชันอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Bluetooth, หลังคาแก้วแบบ Panoramic Glass Roof, เครื่องเสียง Harman Kardon, เสริมความปลอดภัยสูงสุดด้วยออปชัน Lane Tracking Package มาพร้อมฟังก์ชัน Blind Spot Assist และ Lane Keeping Assist

โดย BENZ N.K. แจ้งว่าจะขาย C63 AMG Coupe Performance Package Plus+ ในราคากว่า6 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 สี คือ Diamond White และสีดำ Obsidian Black ทั้งยังมีรถพร้อมส่งมอบทันที....ชมรูปภาพพร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.benznk.com หรือที่ Call Center 0-2885-7755

Mercedes-Benz S-Class SL 500 สปอร์ตโรดสเตอร์พลังแรง-น้ำหนักเบา

Mercedes-Benz S-Class SL 500
(21 มิ.ย.) บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวยนตรกรรมแห่งตำนานสปอร์ต โรดสเตอร์เจเนอเรชันที่ 6 “The new SL-Class” รุ่น SL 350 และ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster ชูความโดดเด่นด้านการออกแบบลดน้ำหนักตัวรถจากโครงสร้างอะลูมิเนียม ภายใต้สมญานาม “Super Light” ผสมผสานการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ BlueDIRECT อันทรงพลังและประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น เปิดราคาจำหน่าย 14.49 ล้านบาท สำหรับ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster (รุ่น SL 350 ราคายังไม่เปิดเผย)

เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่ยึดถือความหมายของตัวอักษร “SL” ซึ่งย่อมาจาก “super, lightweight” โดยการลดน้ำหนักของตัวรถเป็นคุณลักษณะการออกแบบที่เด่นชัด และนับเป็นครั้งแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำตัวถังรถที่เป็นอะลูมิเนียมทั้งคันมาใช้กับรถที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ใช้วัสดุชนิดอื่น
นอกจากนั้น ทีมผู้ออกแบบยังนำแมกนีเซียมซึ่งยิ่งมีน้ำหนักเบายิ่งขึ้นมาใช้เป็นชิ้นส่วนปิดด้านหลังถังน้ำมัน และเสา A-Pillar เป็นเหล็กกล้าที่มีความแกร่งสูง เพื่อประสิทธิภาพในเรื่องความปลอดภัย

ขณะเดียวกัน น้ำหนักที่ลดลงนำมาซึ่งความปราดเปรียวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่าเดิม โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่น SL 500 ใหม่ (1,785 กก.) มีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 125 กิโลกรัม และ SL 350 ใหม่ (1,685 กก.) น้ำหนักตัวรถลดลงถึง 140 กิโลกรัม
สำหรับพลังขุมขับเคลื่อน เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL 500 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V8 เทอร์โบคู่ 4663 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 320 กิโลวัตต์ หรือ 435 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-3,500 รอบต่อนาที (แรงม้ามากกว่ารุ่นก่อน 12% และแรงบิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 32%) เร่งทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 4.6 วินาที ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงจากเดิม 22%

ในขณะที่ SL 350 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V6 ขนาด 3498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด225 กิโลวัตต์ หรือ 306 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 370 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500-5,250 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเวลา 5.9 วินาที มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 6.8-7.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 13.3-14.7 กิโลเมตรต่อลิตร หรือลดลงจากเดิม 30%

โดยทั้งสองรุ่นถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS พร้อมเพิ่มความประหยัดด้วยฟังก์ชัน ECO Start/Stop ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยมีความยาวตัวรถที่ 4,617 มม. (เพิ่มขึ้น 50 มม.) ความกว้างที่ 1,877 มม. (กว้างขึ้น 57 มม.) เส้นสายภายในตกแต่งด้วยลายไม้เชื่อมยาวจากคอนโซลกลางไปถึงแผงหน้าปัดและต่อเนื่องจนไปถึงประตู พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับได้ถึง 3 เฉดสี คือ สีขาว ส้ม และแดง โดยเลือกเปลี่ยนสีที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย

รูปลักษณ์ภายนอกสะท้อนถึงความหรูหรา สง่างาม เริ่มตั้งแต่กระโปรงหน้าที่ยาวรับกับห้องโดยสาร ซึ่งอยู่ในตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลัง พร้อมเสริมความงดงามสมบูรณ์แบบด้วยส่วนท้ายของรถที่กว้างและดูทรงพลัง บวกกับเส้นสายที่รับกับทรวดทรงด้านข้างดูแข็งแกร่งทรงพลังแต่แฝงไว้ด้วยความสุขุม ต่อด้วยช่องระบายอากาศและครีบโครเมียม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรถรุ่นนี้ สอดรับกับกระจังหน้าแบบรถสปอร์ตคลาสสิกในสไตล์ร่วมสมัย

ส่วนชุดโคมไฟหน้าแบบไบซีนอน ที่ลาดเอียงดูปราดเปรียววางทอดยาวไปสู่ด้านข้าง มาคู่กับระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System - ILS) โดยมีฟังก์ชั่นการส่องสว่างถึง 5 แบบ พร้อมด้วยไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาที่เด่นสะดุดตา และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LEDนอกจากนั้นยังโดดเด่นด้วยระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) เพียงยื่นปลายเท้าไปใต้กันชนหลัง และหลังคากระจกแบบ Panoramic Vario-roof เปิด-ปิดหลังคาโดยใช้เวลาเพียง 20 วินาที โดยมาพร้อมกับฟังก์ชั่นพิเศษ MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับระดับความเข้มของหลังคาเพียงปลายนิ้วสัมผัส เพื่อเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นโรดสเตอร์ หรือคูเป้ได้ตามต้องการอย่างรวดเร็ว
เหนืออื่นใดยังเป็นการเปิดตัวสองนวัตกรรมใหม่ ครั้งแรกของโลกสำหรับ MAGIC VISION CONTROL ระบบการทำงานของใบปัดน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งน้ำฉีดล้างกระจกจะถูกส่งออกมาจากก้านปัดน้ำฝนโดยตรง โดยมีการปัดในสองทิศทาง ทำให้ไม่มีการกระจายตัวของละอองน้ำที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ในขณะฉีดน้ำ
รวมถึงระบบเสียง Front Bass ซึ่งใช้พื้นที่ว่างในโครงสร้างอะลูมิเนียมของตัวรถด้านหน้าเป็นจุดติดตั้งลำโพงเสียงเบส ทำให้เกิดเสียงทุ้มที่สะอาดลุ่มลึกและชัดเจน ให้ความรู้สึกดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและช่วยสร้างบรรยากาศเสียงแบบคอนเสิร์ตฮอลล์ได้แม้ในขณะที่เปิดหลังคา

ด้านความปลอดภัยมีครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ซึ่งมีเพียงแบรนด์เดียวในโลก และระบบช่วยเหลือต่างๆ อาทิ ระบบเข็มขัดนิรภัยแบบรั้งกลับอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ถุงลมนิรภัยบริเวณศีรษะ พนักพิงศีรษะ NECK-PRO ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ATTENTION ASSIST ระบบ ADAPTIVE BRAKE และระบบช่วยจอด Active Parking Assist เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่

Popular Posts