Monday, May 30, 2011

10 สัญญาณเตือนภัยเมื่อรถเริ่มมีปัญหา

1. สัญญาณเตือน
เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม

2. เครื่องยนต์
เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
- เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
- เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
- มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

3. ยาง
การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
- ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
- ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
- ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
- ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
นำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่

4. คลัตซ์
คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
- คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
- คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
- แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

5. เกียร์
เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
- มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
- เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
- มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
- ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

6.พวงมาลัย
พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
- พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
- พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
- พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

7. เบรก
ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
- เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
- เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
- แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที

8. ไฟชาร์จ
ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ

9. หลอดไฟ
หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า “เรกูเลเตอร์” ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่

10. น้ำมันหล่อลื่น
ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที

ถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถลากไปอู่ซ่อม


ที่มา : manager.co.th

วิธีการดูแลฟิล์มกรองแสงหลังติดตั้ง

โดยทั่วไปวิธีการติดตั้งฟิล์มกรองแสงจะต้องใช้น้ำผสมกับแชมพูแบบ อ่อนๆ ฉีดลงไปบนด้านแผ่นกาวของฟิล์มและกระจกที่จะติดตั้งเพื่อช่วยให้ขยับฟิล์มให้ เข้าที่แล้วจึงรีดน้ำและอากาศออกด้วยเครื่องมือชนิดต่างๆ ดังนั้นภายหลังจะพบว่าจะมีคราบน้ำขัง , กระจกมัว หรือเป็นฝ้าที่กระจก ก่อนที่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง ภายในเวลา 1-4 สัปดาห์

เมื่อฟิล์มแห้งสนิทและกาวทำงานอย่างเต็มที่แล้วในการยึดติดกระจก ควรปฎิบัติดังนี้

1.ห้ามเลื่อนกระจกขึ้น - ลงเป็นเวลา 7 วัน หลังจากติดตั้งฟิล์ม เพื่อให้ฟิล์มอยู่ตัว

2. ระยะเวลาในการอยู่ตัวของฟิล์มจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิล์มที่ติดตั้ง อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ คราบความชื้นที่อยู่ระหว่างกระจกกับฟิล์ม อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างนี้แต่จะแห้งและหายหมดไปเอง

3. งดใช้ระบบละลายฝ้าที่กระจกหลังเป็นเวลา 30 วัน หลังจากติดตั้งฟิล์มเพราะจะทำให้ฟิล์มเกิดการเสียหายได้

4. ห้ามใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ , ผ้าหยาบ , ขนแปรง , สก็อตไบร์ท หรือวัสดุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟิล์มได้

ซื้อรถมือสองต้องดูอะไรบ้างขั้นต้น

เมื่อคุณคิดจะซื้อรถมือสอง ข้อดีของรถมือสอง คือ ราคาถูก แต่ท่านควรตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด เพราะรถที่ถูกใช้งานมาแล้วล้วนมีความเสี่ยงต่อสภาพความสึกเหรอของเครื่อง ยนต์ หากจะซื้อรถมือสองควรตรวจสอบอะไรบ้าง
       

       1. สุมดประวัติประจำรถ
       มักไม่ค่อยมี เพราะเจ้าของรถไม่พิถีพิถัน แต่ถ้ามีก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยม เพราะสมุดประวัติประจำรถทำให้รู้ว่าเขาตรวจซ่อมอะไรมาบ้าง ตรวจทุกระยะประจำหรือเปล่า
     
       2. เจ้าของรถ
       คุณควรดูเจ้าของรถคันเดิมว่าเขาเป็นใครใช้รถอย่างไรดูแลรถหรือไม่ มีคนกล่าวว่า ไม่ควรซื้อรถต่อจากวัยรุ่น ผู้หญิง และคนชรา เพราะว่าทั้งสามประเภทนี้ ใช้รถอย่างเดียวไม่ค่อยดูแลรถที่ใช้อยู่

     3. มือที่เท่าไหร่
       
ก็คือรถคันนี้มีคนเป็นเจ้าของมามากน้อยเพียงใด ถ้าผ่านมาแล้วหลายมือก็ควรไม่ซื้อ เพราะรถอาจจะมีปัญหาได้
     
       4. ตัวเลขระยะทางการใช้รถ
       
ในการซื้อรถคุณควรดูเลขตัวไมล์โดยปกติการใช้รถไม่ ควรจะมากกว่าสามหมื่นกิโลเมตรต่อปี หากมากไปกว่านี้ถือว่ามากอาจทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้งานหนัก
     
       5. สภาพภายใน
       หมายถีงเบาะนั่ง ระบบไฟฟ้าต่างๆ ต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม สภาพดีมาก ดีน้อย ย่อมแล้วแต่ผู้ใช้และการดูแลรักษา
     
       6. สภาพภายนอก
       ควรดูสภาพตัวถังมีผุพัง สีถลอกปอกเปิก กันชนบุบ ตัวถังงอ ประตูตก บ้างหรือไม่
     
       7. ทำสีมาหรือเปล่า
       รถที่ต้องทำสีใหม่ คือ รถที่เก่ามากอายุควรจะเกิน 15 ปีขี้นไป หากทำสีก่อนหน้านั้นก็เท่ากับว่ารถไม่ได้รับการดูแล ในการทดสอบว่าไปทำสีมาหรือเปล่า ก็ลองเคาะเบาๆ ด้วยสันมือ ถ้าเสียงโปร่งก็สีเดิม ถ้าเสียงทึบบ้างโปร่งบ้าง ก็ทำบางส่วน ถ้าทึบหมดก็ทำทั้งคันรถทำสีใหม่สีจะไม่ทน อาจซีด หรือด้านหรือโปร่ง ภายในสองสามปีเป็นอย่างมาก

ที่มา : manager.co.th

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อและติดตั้งฟิล์มลดความร้อน

เนื่องจากปัจจุบันมีฟิล์มกรองแสงนับสิบแบรนด์อยู่ในตลาด ซึ่งทุกแบรนด์ต่างก็โฆษณาว่าเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศแถบยุโรปและสหรัฐ อเมริกา สามารถลดความร้อนได้สูง ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้เกือบ 100 % บางรายรับประกันตลอดอายุการใช้งานเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถ้าฟิล์มแบรนด์นั้นมีคุณสมบัติอย่างที่โฆษณาจริง ผู้บริโภคจะได้รับผลประโยชน์และความพอใจที่ตรงตามความต้องการของตนเอง และคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เสียไป ปัญหาคือจะทราบได้อย่างไรว่าข้อความที่โฆษณาเป็นจริงหรือไม่? เราจึงขอเสนอแนะวิธีการในการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง โดยแบ่งเป็น 4 หัวข้อใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้

1.มาตรฐานของโรงงานผู้ผลิตฟิล์ม
2.คุณสมบัติเฉพาะของฟิล์ม ( FILM SPECIFICATION )
3. บริษัทฯผู้นำเข้า
4. ราคา
5.การทดสอบฟิล์มด้วยตัวเอง
6.เลือกร้านติดตั้ง...ฝีมือช่างต้องชำนาญ

1. มาตรฐานของโรงงานผู้ผลิตฟิล์ม
ตลาดฟิล์มกรองแสงในบ้านเรานั้นมีมูลค่าที่เป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุน ทั้งในวงการและนอกวงการมาก ทำให้มีการแข่งขันกันสูง ผู้บริโภคจะพบว่ามีฟิล์มมากมายแบรนด์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ดังนั้นเมื่อท่านต้องการฟิล์มที่มีคุณภาพมาตรฐาน สิ่งที่ท่านต้องพิจารณาอันดับแรกคือมาตรฐานของโรงงานผู้ผลิตฟิล์ม ท่านทราบหรือไม่ว่า ฟิล์มส่วนใหญ่ที่อ้างว่านำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มาจากประเทศไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ ใกล้ๆเรานี่เอง แล้วเราจะดูมาตรฐานของโรงงานผู้ผลิตฟิล์มดูได้จากที่ไหน?

คำตอบก็คือจากโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ของฟิล์ม แบรนด์นั้นๆโดยตรง แต่จะใช้ได้เฉพาะกับฟิล์มที่แจ้งชื่อโรงงานที่ตนนำเข้าเท่านั้น เพราะผู้บริโภคสามารถตรวจสอบกลับไปที่ WEBSITE ของโรงงานได้เลยว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ผู้นำเข้าเป็นตัวแทนจำหน่ายจริงไหม สินค้ามีมาตรฐานอะไรบ้าง ค่าการทดสอบต่างๆใช้มาตรฐานอะไรวัด (เช่น ASTM E 903 – 82 เป็นต้น) เป็นมาตรฐานที่องค์กรสากลเกี่ยวกับเรื่องฟิล์มเช่น AIMCAL หรือ ASTM รับรองจริงหรือเปล่า ตัวเลขที่ผู้นำเข้านำมาโฆษณาตรงกันกับตัวเลขของผู้ผลิตหรือไม่ ได้ ISO 9001 หรือ 9002 จริงหรือไม่ ผู้ผลิตรับประกันกี่ปี

สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภครู้ว่าฟิล์มแบรนด์นั้นมีมาตรฐานเป็น อย่างไร และคุณสมบัติที่นำมาโฆษณาสู่สาธารณชนถูกต้องตรงตามโรงงานผู้ผลิตหรือไม่ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าฟิล์มที่ไม่มีมาตรฐานอะไรเลยหรือไม่สามารถตรวจสอบ แหล่งที่มาที่ไปได้จะไม่มีคุณภาพ แต่การไม่เปิดเผยความจริง การบิดเบือนข้อมูลเป็นการแสดงถึงความไม่จริงใจกับผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสับสนและได้ข้อมูลผิดๆ และอาจนำไปซึ่งการเสียค่าใช้จ่ายสูงเกินไป หรือได้รับสินค้าที่คุณภาพต่ำเกินไป ถ้าไปติดฟิล์มที่โฆษณาเกินจริง ผู้บริโภคควรตรวจสอบให้แน่ชัดถึงแหล่งที่มาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของท่าน

2.คุณสมบัติเฉพาะของฟิล์ม ( FILM SPECIFICATION )
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป จะพิจารณาจากคุณสมบัติหลักๆ 4 ตัว ดังนี้
-ปริมาณแสงส่องผ่านได้ ( VISIBLE LIGHT TRANSMITTED )
-ความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ( ULTRA VIOLET BLOCK )
-ความสามารถในการสะท้อนกลับของแสง ( VISIBLE LIGHT REFLECTED )
-ความสามารถในการลดความร้อน ( TOTAL SOLAR ENERGY REJECTED )

ปริมาณแสงส่องผ่านได้ คือปริมาณของแสงที่ส่องผ่านกระจกที่ติดฟิล์ม วัดที่ความยาวคลื่น 550 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความยาวคลื่นที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนที่สุด โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับปริมาณแสงทั้งหมดก่อนส่องผ่านกระจกที่ติด ฟิล์ม ฟิล์มที่มีค่าปริมาณแสงส่องผ่านน้อยจะเป็นฟิล์มที่มีความเข้มมากกว่าฟิล์ม ที่มีปริมาณแสงส่องผ่านมาก คือตัวเลขยิ่งมากยิ่งใสนั่นเอง

ผู้บริโภคจะต้องพิจารณาว่ามีความต้องการติดฟิล์มที่มีความใสมากน้อย เพียงไรที่เหมาะสมกับตนเอง โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ติดบานหน้าใสกว่าด้านข้าง เพื่อให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีกว่า การเลือกฟิล์มเข้มมากน้อยจะขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่นความชอบ, อายุผู้ขับขี่, ลักษณะการใช้งาน เป็นต้น ความสามารถในการป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต คือปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลตที่ถูกป้องกันไว้ไม้ให้ผ่านเข้ามา โดยคิดเป็นโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับปริมาณรังสีทั้งหมดในแสงแดด

โดยส่วนใหญ่ฟิล์มจะสามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ดี อยู่แล้ว คุณสมบัติในข้อนี้จึงไม่มีความแตกต่างกันมากนักในแต่ละแบรนด์ความสามารถใน การสะท้อนกลับของแสง ได้ คือปริมาณของแสงที่ถูกสะท้อนกลับเมื่อกระทบกับกระจกที่ติดฟิล์ม โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับปริมาณแสงทั้งหมดก่อนส่องผ่านกระจกที่ติด ฟิล์ม หรือค่าการสะท้อนแสงของฟิล์มนั่นเอง การเลือกฟิล์มที่มีค่าการสะท้อนมากก็จะมีผลกระทบต่อผู้อื่นมาก ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสม ทั้งนี้อัตราการสะท้อนกลับของแสงไม่ควรเกิน 35 % สำหรับฟิล์มรถยนต์ ความสามารถในการลดความร้อน คือปริมาณพลังงานความร้อนที่ถูกป้องกันไว้ไม้ให้ผ่านกระจก โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับพลังงานความร้อนทั้งหมดในแสงแดด

คุณสมบัติตัวนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยต้องการมากที่สุด เพราะบ้านเรามีภูมิอากาศร้อนเกือบทั้งปี ตัวเลขยิ่งมากก็ยิ่งลดความร้อนได้สูง สิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคสับสนมากที่สุดในปัจจุบันคือการแสดงค่าการลดความร้อน ที่สูงมาก แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ หรือใช้ค่าการลดความร้อนจากอินฟราเรดมาแสดง ซึ่งรังสีอินฟราเรดเป็นส่วนประกอบเพียง 53 % ของพลังงานแสงอาทิตย์ ( ดูความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ ) ดังนั้นจึงไม่ใช่ตัวเลขที่แสดงถึงการลดความร้อนจากแสงแดดที่แท้จริง รวมถึงการทดสอบโดยใช้สปอตไลท์เช่นกัน ไม่สามารถให้ค่าที่ถูกต้องได้เพราะความร้อนจากสปอตไลท์เป็นพลังงานจากรังสี อินฟราเรดอย่างเดียว

3. บริษัทฯผู้นำเข้า
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาถึงบริษัทฯผู้นำเข้าเพื่อประกอบการตัดสินใจคือ
-มีความตั้งใจจริงที่จะนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ และมีความจริงใจกับผู้บริโภคแค่ไหนพิจารณาได้จากการนำเสนอข้อมูลของตัว สินค้าว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ แล้วท่านจะทราบว่าแบรนด์นั้นมีคุณภาพหรือไม่อย่างไร
-มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้แค่ไหน เนื่องจากฟิล์มเป็นสินค้าที่มีระยะเวลารับประกันนาน ดังนั้นจึงควรเลือกบริษัทฯที่อยู่ในธุรกิจมาเป็นเวลานานพอสมควร เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าท่านจะได้รับการดูแลตลอดระยะเวลารับประกันของ
แบรนด์นั้น
-ทำตลาดในแบรนด์เดียวกับผู้ผลิตหรือเปล่า เนื่องจากปัจจุบันมากกว่า 90 % ของผู้ทำธุรกิจฟิล์มจะตั้งแบรนด์ขึ้นเอง ( LOCAL BRAND )
ทั้งนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การเลือกใช้ฟิล์มที่นำเสนอในแบรนด์เดียวกับผู้ผลิตจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้ กับผู้บริโภคได้มากกว่าทั้งในด้านความสม่ำเสมอของคุณภาพสินค้า และการรับประกัน

4.ราคา
ปัจจัยเรื่องราคาถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องพิจารณาว่า ราคาที่นำเสนอคุ้มค่ากับคุณประโยชน์ที่ได้รับหรือไม่ อย่างเช่นคุณควรศึกษาสเปกของฟิล์มชนิดที่คุณต้องการแล้วมาดูว่ามียี่ห้อใด บ้างที่ตรงกับความต้องการของคุณ แล้วนำมาเปรียบเทียบราคาดูเลือกที่ราคาเหมาะสมและมีคุณภาพไม่ใช่เลือกที่ ราคาถูกที่สุด ราคาต้องสมเหตุสมผล เหมาะสมกับคุณภาพในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ใช่ต้องแพงเพียงเพราะมีชื่อเสียงมานานหรือเพราะโฆษณาเกินจริง ทำให้ตั้งราคาแพง หรือสูงขึ้นอีก ไม่สมคุณภาพที่โฆษณาไว้ โดยส่วนมากฟิล์มเคลือบโลหะ ทั้งชนิด Sputtered และ Metallized จะมีราคาสูงกว่าฟิล์มเคลือบสีประมาณ 1-2 เท่าตัว ที่สำคัญคือต้องดูงบประมาณในกระเป๋าของคุณเองด้วย แล้วทีนี้หน้าร้อนเราก็พารถ(ที่รัก)ไปติดฟิล์มกันได้เลย

5.การทดสอบฟิล์มด้วยตัวเอง
ผู้บริโภคควรพิจารณาโฆษณาของฟิล์มกรองแสงต่าง ๆ ให้ดีก่อนเลือกติดตั้ง ต้องเป็นโฆษณาที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง % การลดความร้อน และคุณสมบัติต่าง ๆ ของฟิล์มกรองแสง % การลดความร้อนที่ถูกต้องนั้นต้องเป็น % การลดความร้อนจากแสงแดด นอกจากนี้ยังควรพิจารณาถึงวิธีการทดสอบคุณภาพของฟิล์มกรองแสงด้วยว่าเชื่อ ถือได้หรือไม่ เช่น ไม่ควรทดสอบฟิล์มด้วยแสงสปอตไลท์ไม่ว่าจะโดยการให้ผู้บริโภคใช้มืออัง หรือยืนท่ามกลางแสงสปอตไลท์

ทั้งนี้เพราะเวลาเราขับรถจริง ๆ นั้น เราขับรถภายใต้แสงแดด มิใช่แสงสปอตไลท์ และแหล่งกำเนิดแสงทั้งสองชนิดนี้ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และบางครั้งยังมีกรณีว่าฟิล์มที่ใช้เวลาทดสอบกับฟิล์มที่นำมาติดตั้งให้นั้น เป็นคนละชนิดกัน หรือใช้ฟิล์มติดตั้งซ้อนทับกันสองชั้นในการทดสอบ จุดนี้ผู้บริโภคต้องพึงระวัง และพิจารณาให้รอบคอบ


6.เลือกร้านติดตั้ง...ฝีมือช่างต้องชำนาญ
ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายก็มีส่วนสำคัญที่ต้องพิจารณาประกอบ ทุกวันนี้ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จะขายผ่านร้านประดับยนต์ ร้านติดตั้งเครื่องเสียง ซึ่งร้านเหล่านี้จะมีทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้จำหน่ายโดยตรง กับไม่ได้รับการแต่งตั้ง ร้านที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจะนำฟิล์มเข้ามาจำหน่ายเอง ซึ่งก็เสี่ยงต่อฟิล์มคุณภาพต่ำ บางแห่งก็เสนอฟิล์มแบบมียี่ห้อ ให้ดู พอตอนติดตั้งแอบไปเอาฟิล์มอะไรไม่รู้มาติดรถ อย่างนี้ก็มี

เราสามารถพิจารณาได้ว่าร้านใดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่าย หรือไม่ โดยสังเกตจากป้ายหน้าร้าน หรือใบที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือใบรับประกันสินค้า หรือถ้าต้องการความมั่นใจโทรศัพท์สอบถามจากผู้นำเข้าโดยตรง และควรเลือกร้านที่มีห้องสำหรับการติดฟิล์มโดยเฉพาะ เนื่องจากฝุ่นคือศัตรูตัวร้ายกาจของการติดฟิล์ม

การติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์หากได้ฟิล์ม คุณภาพ แต่หากช่างที่ติดตั้งไม่มีฝีมือก็ไร้ประโยชน์ การติดฟิล์มกรองแสงนั้น นอกจากคุณภาพของฟิล์มแล้ว หากต้องการให้ฟิล์มอยู่คงทนนานต้องขึ้นอยู่ที่ฝีมือของช่างคนนั้นด้วยช่าง ที่ติดฟิล์มจะต้องมีฝีมือในการกรีดฟิล์ม เพราะหากมือไม่ดีพอ เวลาที่กรีดฟิล์มลงสู่กระจกจะทำให้ฟิล์มนั้นไม่เสมอกัน โดยเฉพาะตรงขอบกระจก และถ้าเลวร้ายไปกว่านั้น บางครั้งอาจกรีดโดนกระจกรถยนต์ และทำให้เป็นรอยได้


ข้อมูล : บริษัท ฟิล์มกรองแสงอุตสาหกรรม จำกัด , ฮานิตะ ฟิล์ม , Window Film Magazine

ฟิล์มกรองแสงลดความร้อนทำหน้าที่อย่างไร

ฟิล์มลดความร้อนทำหน้าที่อย่างไร

ฟิล์มลดความร้อนทำหน้าที่ในการควบคุมการถ่ายเทความร้อนที่เกิดขึ้นกับกระจกจากพลังงานแสงอาทิตย์โดย
1. พยายามทำให้กระจกมีความสามารถสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น
2. พยายามทำให้กระจกมีการดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์น้อย
3. พยายามทำให้พลังงานแสงอาทิตย์ถูกส่งผ่านกระจกเข้ามาน้อยลง

ประโยชน์ของการติดฟิล์มลดความร้อน

1. ช่วยลดแสงจ้า ให้ความรู้สึกสบายตาในยามขับขี่ และช่วยลดความเครียดของดวงตาในภาวะที่แดดจัดๆ หรือแม้แต่ตอนเช้าที่แสงแดดอ่อนๆแต่ก็ส่องเข้าตานั้น แสงแดดก็ยังเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการขับรถทุกคน เพราะการมองผ่านกระจกออกไปยังถนนที่แสงแดดจัดนั้นเป็นสาเหตุให้ดวงตาเกิด ความเครียด เมื่อยล้า สายตาเสีย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ส่วนผู้ที่ขับขี่รถยนต์ที่ติดฟิล์มกรองแสงนั้นก็จะเป็นการช่วยลดแสงจ้าทำให้ ทัศนวิสัย หรือการมองเห็นในขณะขับรถมีประสิทธิภาพเต็มที่ รู้สึกสบายตา และไม่เกิดความเมื่อยล้า

2. การช่วยลดความร้อนจากแสงแดด เพราะประเทศไทยตั้งอยู่ในแถบใกล้เขตเส้นศูนย์สูตร

3. ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต ( UV ) จากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการอย่างมากที่ทำให้ผิวเป็นฝ้า ตกกระ และยิ่งไปกว่านั้น แสงแดดยังเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย การติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ชนิดที่มีคุณภาพจะช่วยป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต ได้มากกว่า 99%

ช่วยถนอมผิวและสุขภาพของผู้โดยสารภายในรถยนต์ ยิ่งไปกว่านั้น รังสี UV ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัสดุภายในรถยนต์ซีดจางและเสื่อมคุณภาพ ดังนั้น การติดฟิล์มกรองแสงจะช่วยชลอการซีดจางของวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถยนต์ เป็นการรักษาและยืดอายุการใช้งาน ซึ่งถือเป็นการช่วยป้องกันความเสียหายของวัสดุภายในรถไว้ตั้งแต่ต้นเหตุ สภาพภูมิอากาศโดยรวมจะมีอุณหภูมิสูง แม้กระทั่งในช่วงหน้าหนาวถึงอุณหภูมิจะไม่สูงมากนัก แต่แสงแดดก็ยังแรงอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องใช้รถใช้ถนนเป็นระยะเวลานานๆ ก็มีโอกาสได้รับความร้อนจากแสงแดดมากกว่าปกติ

4. ช่วยลดอันตรายจากการแตกกระจายของกระจกรถ ยนต์ในเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ หากรถเกิดการเฉี่ยวชนจนกระทั่งกระจกแตกร้าว รถที่ติดฟิล์มรถยนต์ที่ได้คุณภาพ ผลิตจากโพลีเอสเทอร์ชั้นเยี่ยม และกาวพิเศษ จะสามารถช่วยยึดเกาะเศษกระจกที่แตกไว้ด้วยกันไม่ให้ร่วงหล่นมาบาดโดนส่วน ต่างๆ ของร่างกายหรือทำอันตรายต่อผู้โดยสารในรถ

5. เพิ่มความสวยงามให้กับตัวรถและอาคารบ้านเรือน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ประโยชน์จากฟิล์มกรองแสงอย่างคุ้มค่าและครบถ้วนดังที่ กล่าวมาข้างต้น ผู้บริโภคจำเป็นจะต้องทราบข้อมูลต่างๆให้ชัดเจนและถูกต้องเป็นจริง เพื่อนำมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงรถยนต์ เนื่องจากในประเทศไทยมีฟิล์มกรองแสงอยู่มากมายหลายยี่ห้อ หลายรุ่นด้วยกัน

7. ปกป้องวัสดุ , อุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ ภายในรถ

8. ประหยัดไฟฟ้าและพลังงาน ช่วยให้เครื่องปรับอากาศ ไม่ต้องทำงานหนักช่วยยืดอายุการใช้งาน

ข้อมูล : บริษัท ฟิล์มกรองแสงอุตสาหกรรม จำกัด , ฮานิตะ ฟิล์ม , Window Film Magazine

รู้จักระบบลูกผสม “ไฮบริด” Hybrid

มาทำความรู้จักกับระบบไฮบริดกันอีกสักหน่อย ว่า จริงๆ แล้วระบบที่เรียกกันว่า ไฮบริด นั้นมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทนั้นเป็นอย่างไร จากข้อมุลที่โตโยต้านำเสนอ

        1. ระบบไฮบริดแบบ อนุกรม (Series Hybrid)
       

       ระบบนี้เครื่องยนต์จะไปหมุนเจเนอเรเตอร์ เพื่อก่อกำเนิดพลังงานไฟฟ้า จากนั้นพลังงานไฟฟ้าก็จะไปทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าหมุนและส่งต่อกำลังไปหมุนล้ออีก หนึ่งทอดเพื่อทำให้รถวิ่ง ลักษณะการทำงานเหมือน หัวรถจักรของรถไฟ
       ข้อดีของระบบนี้ไฮบริดแบบอนุกรมก็คือ สามารถทำให้เครื่องยนต์กำลังต่ำทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง โดยให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าและจ่ายไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าอีกทั้งยังช่วยชาร์จ ไฟแบตเตอร์รี่ไปด้วยในตัว
   
       2. ระบบไฮบริดแบบ คู่ขนาน (Parallel Hybrid)
       

       ระบบคู่ขนาน ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนหมุนล้อไปพร้อมๆ กัน (เป็นที่มาของชื่อเรียก คู่ขนาน) โดยที่กำลังขับเคลื่อนจากแหล่งพลังงานทั้ง 2 ชนิดจะถูกนำมาใช้ตามสถานการณ์ต่างๆ เท่าที่รถต้องการในเวลานั้น และมอเตอร์จะใช้กำลังไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่ซึ่งการชาร์จไฟจะมาจากการเปลี่ยน มอเตอร์ไฟฟ้าให้ทำงานเป็นเจเนอเรเตอร์ ในขณะที่รถเบรก
   
       ข้อดีคือ เป็นระบบที่ไม่ซับซ้อน เรียกใช้พลังงานได้เยอะ แต่ข้อด้อยคือ ไม่สามารถส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อได้ขณะที่ทำการชาร์จไฟฟ้าในคราวเดียวกัน เพราะว่าระบบนี้มีมอเตอร์เพียงตัวเดียวในการทำงาน 2 หน้าที่
      3. ระบบไฮบริดแบบอนุกรม/คู่ขนาน
   
       ระบบนี้รวมเอาข้อดีระบบไฮบริดทั้ง 2 แบบเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งรถไฮบริดของโตโยต้าจะเลือกใช้ระบบนี้รวมถึง รุ่น คัมรี่ ไฮบริด ด้วย โดยระบบดังกล่าวนี้ โตโยต้า เรียกว่า THS
   
       การทำงานของระบบจะขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ว่าจะต้องการใช้กำลังจาก มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว(ข้อดีของแบบอนุกรม) หรือจะใช้กำลังขับเคลื่อนจากทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ (ข้อดีของแบบคู่ขนาน) นอกจากนั้น ระบบนี้ยังสามารถส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อต่างๆ ได้ แม้ในขณะที่เจเนอเรเตอร์สร้างกระแสไฟฟ้า
   สำหรับข้อดีของระบบไฮบริด อันดับ 1 แน่นอนคือ ด้านการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง พร้อมกับลดมลพิษจากการปล่อยไอเสีย ลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ รวมถึงการมีอัตราเร่งที่ราบรื่นไม่ติดขัดจากการผสานการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งหากใครคิดจะคบหาศึกษาข้อมูลสักหน่อยแล้วคุณก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก

How to Jump Your Battery จัมพ์แบตเตอรี่

ขั้นตอนที่ 1 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ
เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ขั้นตอนที่ 2 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่รถที่มีไฟ
      นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ “GS แบตเตอรี่” ให้คำแนะนำว่าปัญหาของแบตเตอรี่หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จาก หลายสาเหตุ ทั้งสายต่อไดชาร์จหลวม น้ำกลั่นหมด แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือกำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง
ขั้นตอนที่ 3 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ที่มีไฟ
        “การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่ มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่ จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”

      **วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์ กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถและ ขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อแน่นหนา

ขั้นตอนที่ 4 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ
    ต่อจากนั้นนำสาย หัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วน ที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่ ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
    
       จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+) จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ ใหม่

ขั้นตอนที่ 5 สตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มจากรถที่แบตเตอรี่มีไฟก่อน
  **ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**      
       - ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
       - เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
       - ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
       - ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
       - ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่ หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน


ข้อมูลและภาพประกอบ : manager.co.th

เคล็ดลับขับรถเที่ยวหน้าฝน

หน้าฝนมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวในช่วงนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก ยิ่งขึ้น เพราะอาจจะมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในฤดูอื่น ไม่ว่าการสัญจรในเมืองหรือการเดินทางไปเที่ยวไกลๆ ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงบ่อย การขับรถบนถนนที่เปียกลื่นไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่คือเคล็ดลับที่น่าสนใจเพื่อช่วยให้การเดินทางไปถึงจุดหมายและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนนี้
1.ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง เบรก พวงมาลัย ระดับของเหลวต่างๆ ปริมาณลมยาง และระบบไล่ฝ้าควรได้รับการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับการเดินทาง ที่อาจต้องพบกับฝนที่ตกหนักระหว่างทาง

2.เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินที่มีคุณภาพดีให้พร้อม การเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายเอาไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดค่าใช้จ่าย จากการใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน และช่วยลดความตึงเครียดหากรถเสียระหว่างการเดินทาง อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ควรตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่แต่ละคน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วควรประกอบไปด้วย ยางอะไหล่ ไฟฉาย ฟิวส์ ที่สูบลม น้ำสะอาด อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และป้ายสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มองเห็นเด่นชัด

3.ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน หากใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพหรือชำรุด ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีในขณะฝนตก

4.ขับอย่างระมัดระวัง! ใส่ใจในการขับขี่และรักษาระดับความเร็วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ การขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่น้ำฝนอาจก่อตัวเป็นแผ่นน้ำบางๆ คั่นกลางระหว่างล้อและถนน ทำให้ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง ผู้ขับขี่จึงควบคุมรถได้ยากขึ้น

5.เปิดไฟหน้ารถขณะฝนตก เมื่อต้องขับรถในขณะฝนตกให้เปิดไฟหน้ารถเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถผู้ขับได้จากระยะไกลด้วย

6.หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกแรงๆ หรือการเบรกกระทันหัน การค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วลงนับว่าเป็นวิธีการขับขี่ที่เหมาะ สมที่สุด เพราะหากเหยียบเบรกอย่างรุนแรง รถอาจลื่นไถลได้

7.ขับรถอย่างมีสติและเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันข้างหน้า ในยามที่ถนนเปียกจะต้องใช้เวลาและระยะทางในการเบรกเพิ่มขึ้น เมื่อประสบกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การขับรถด้วยความระมัดระวังและไม่ขับตามหลังรถโดยสารขนาดใหญ่หรือรถบรรทุกจะ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะล้อด้านหลังของรถขนาดใหญ่มักจะปัดละอองน้ำมาใส่รถคันข้างหลัง จนอาจทำให้เสียทัศนวิสัยในการขับขี่ได้

8.หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำลึก ผู้ขับรถไม่มีทางทราบได้เลยว่าภายใต้ผิวน้ำนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากขับลงไปยังแอ่งน้ำด้วยความเร็วสูง กันชนหน้าและหม้อน้ำอาจจะถูกกระแทกจนได้รับความเสียหายร้ายแรง หรือถ้าคลื่นน้ำซัดเข้ามาในห้องเครื่องก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์ดับได้

9.ตื่นตัวกับสัญญาญเตือนให้หยุดรถหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่บนถนน หากพบว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง พยายามอย่าขับรถฝ่าไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ให้มองหาเส้นทางใหม่ที่ปลอดภัยกว่า

10.ขับช้าๆ เมื่อต้องฝ่าน้ำท่วม หากจำเป็นต้องขับฝ่าน้ำที่ท่วมขังบนพื้นถนน ให้ขับไปอย่างช้าๆ อย่าขับรถฝ่าน้ำที่กำลังไหลอยู่ หรือหากไม่ทราบว่าแอ่งน้ำนั้นลึกขนาดไหน ควรหยุดรถก่อนที่จะถึงบริเวณน้ำท่วมและตรวจสอบความลึกของน้ำ ซึ่งโดยทั่วไป ถ้าระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถหรือสูงกว่า 1 ใน 3 ของล้อเมื่อวัดจากพื้นถนน ไม่ควรขับฝ่าไปอย่างเด็ดขาด

11.เมื่อรถติดหล่ม ให้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 และเร่งเครื่องช้าๆ อย่าเร่งเครื่องแรงจนทำให้ล้อหมุนฟรี เพราะจะทำให้รถจมลึกลงไปกว่าเดิมอีก

12.การเชนเกียร์ต่ำกระทันหันขณะฝนตกเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง ขณะที่พื้นถนนเปียก การเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบต่อความเร็วของล้อและยาง อาจทำให้รถลื่นไหลและสูญเสียการควบคุมรถ ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำขณะขับ บนถนนลื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถขึ้นเนินที่มีความลาดชัน

ข้อมูลและภาพประกอบ : ฟอร์ด ประเทศไทย

Thursday, May 26, 2011

มาดู MERCEDES-BENZ รุ่นต่างๆ

ดูรายละเอียดของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์แต่ละรุ่นกันครับ สวยทั้งนั้นเลย
SLS AMG

The SLK-Class

The SL-Class

The S-Class

The M-Class

The E-Class Estate

The E-Class Cabriolet

The E-Class Coupe'

The E-Class Saloon

The C-Class Saloon
The B-Class

Honda Civic Hybrid ปี 2012

Honda Civic Hybrid ปี 2012 ประหยัดน้ำมันมากกว่าสเปคที่ 3.42 ลิตร/100 กม.

การเปิดตัวครั้งแรกในโลกอย่างเป็นทางการของ Honda Civic เจนเนอเรชั่นที่ 9 เวอร์ชั่นอเมริกาในหลายๆรุ่นในงาน 2011 New York Auto Show ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่ควร ทั้งนี้เนื่องจากมีการเผยโฉมพร้อมรายละเอียดของคอมแพคท์คาร์รุ่นนี้ออกมา ล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในขณะที่คนไทยอยากจะเห็นโฉมของจีนมากกว่าเพราะนั่นคือ โฉมที่ว่ากันว่าจะมีการใช้กับ Civic ของไทยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามยังมี Honda Civic รุ่นปี 2012 ที่น่าสนใจรุ่นหนึ่ง นั่นก็คือ Civic Hybrid ที่นอกจากจะเป็นรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอินเทรนด์แล้ว ยังมีการทดสอบการประหยัดน้ำมันที่น่าสนใจจาก HybridCars.com ที่ทำให้เราคิดว่า รถรุ่นนี้น่าสนใจมากกว่าที่คิด เพราะประหยัดน้ำมันมากกว่าที่ระบุในเอกสารทางเทคนิคของ Honda เอง

Honda Civic Hybrid รุ่นปี 2012 นี้ได้ใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้อัตราสิ้นเปลือง เชื้อเพลิง EPA ตามมาตรฐานของอเมริกาเพิ่มจาก 41 ไปเป็น 44 ไมล์/แกลลอนโดยเฉลี่ยสำหรับการขับนอกและในเมือง โดย HybridCars.com ได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Hypermiling ในการขับทดสอบจนได้อัตราสิ้นเปลืองฯเฉลี่ยเกินความคาดหมายที่ 68.7 ไมล์/แกลลอนหรือ 3.42 ลิตร/100 กิโลเมตร ด้วยการขับรถเป็นระยะทาง 10 ไมล์หรือ 16 กิโลเมตรในสภาพถนนทั่วไปของอเมริกา ที่มีทั้งการขับทั้งในและนอกเมือง โดยมีการหยุดรถที่แยกไฟแดง 4-5 ครั้ง เพื่อให้ได้สภาพการขับขี่ที่สะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด

จากตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองฯอย่างเป็นทางการที่ 44 ไมล์/แกลลอน ก็เพียงพอที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นรถระบบไฮบริดแบบ “ไม่ Plug-In” ที่ประหยัดน้ำมันเป็นอันดับ 2 รองจาก Toyota Prius ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองฯที่ 50 ไมล์/แกลลอน ในขณะที่ Lexus CT200h ตามมาเป็นที่ 3 ด้วยตัวเลขที่ 42 ไมล์/แกลลอน Honda จึงอ้างได้เต็มปากเต็มคำว่า Civic Hybrid ตัวใหม่นี้เป็นซีดานที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีราคาขายเริ่มต้นในเมืองลุงแซมที่ 24,050 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนรุ่นท็อปที่มาพร้อมเบาะหุ้มหนังและระบบวิทยุ XM มีราคาอยู่ที่ 26,750 เหรียญสหรัฐฯ

Yuuji Fujiki, Chief Engineer ระบบ IMA Hybrid ของ Honda ให้สัมภาษณ์ HybridCars.com ว่า นอกจากการหันมาใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนแล้ว Civic Hybrid 2012 ยังใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ที่มีขนาดความจุกระบอกสูบที่ใหญ่ขึ้นคือ จากขนาด 1.3 ไปเป็น 1.5 ลิตร แต่กลับมีอัตราสิ้นเปลืองฯเท่ากับโฉมปัจจุบัน(ที่กำลังจะกลายเป็นโฉมเก่า) นั่นทำให้เครื่องยนต์ทำงานที่ความเร็วรอบต่ำ ส่งผลให้มีการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าบ่อยขึ้น เสียงดังจากเครื่องยนต์ก็น้อยลงโดยปริยาย ส่วนชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนที่ใช้ก็มีขนาดเล็กลงถึง 30% เมื่อเทียบกับชุดแบตเตอรี่นิเกิลเมทัลไฮไดรด์ ทำให้มีพื้นที่จุสัมภาระมากขึ้นกว่า Civic รุ่นก่อน

Fujiki ยังอธิบายเพิ่มอีกว่า ระบบไฮบริดของ Honda ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นในทุกจุดเพื่อให้มั่นใจว่ารถจะสามารถใช้น้ำมันให้เกิด ประโยชน์สูงสุดหรือประหยัดน้ำมันมากขึ้นนั่นเอง เหล่านี้ทำได้โดยการเพิ่มกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าจาก 15 ไปเป็น 20 กิโลวัตต์ ด้วยการใช้คอยล์มากขึ้น และมีระยะห่างระหว่างแม่เหล็กในมอเตอร์มากขึ้น นอกจากนั้นยังใช้สเปซเซอร์พลาสติคเพื่อจัดการในเรื่องอุณหภูมิหรือความร้อน ภายในมอเตอร์ได้ดีขึ้น

และนอกจากการใช้ระบบ idle-stop มากขึ้นแล้ว ในบางครั้ง วาล์วของเครื่องยนต์จะถูกสั่งให้หยุดการทำงานเพื่อตัดระบบการจ่ายน้ำมันใน ขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน Honda เรียกการทำงานนี้ว่าเป็นโหมดการทำงานแบบ EV ซึ่งการทำงานดังกล่าวไม่ใช่เป็นการทำงานของระบบไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งแม้ว่าระบบจ่ายน้ำมันจะหยุดทำงานแต่รถก็ยังเคลื่อนที่ได้ด้วยแรงฉุดเชิง กลอยู่ได้ ซึ่งสภาวะ “ไม่ใช่น้ำมัน” นี้ จะใช้เวลานานสูงสุดถึง 79 วินาที

Honda อ้างว่า ทีมวิศกรของบริษัทฯได้มุ่งเน้นการพัฒนาในเรื่องของการประหยัดน้ำมันให้มาก ที่สุด (ซึ่งเห็นได้จากอัตราสิ้นเปลืองฯที่ 44 ไมล์/แกลลอน จากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงตัวเดียวซึ่งมีราคาถูกกว่าและซับซ้อนน้อยกว่า ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวของ Toyota) โดยการสร้างสมดุลย์ในการใช้งานที่เหมาะสมระหว่างแรงเสียดทานของเครื่องยนต์ กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า และการใช้แบตเตอรี่ ที่ทำให้การใช้น้ำมันโดยรวมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

เทคนิคการขับ Civic Hybrid รุ่นปี 2012 ให้ประหยัดน้ำมันมากที่สุดก็คือ การค่อยๆเร่งเครื่องในระดับที่สม่ำเสมอไปจนถึงระดับความเร็วที่ประมาณ 45 ไมล์/ชั่วโมงหรือ 72.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง และอยู่ในระดับความเร็วดังกล่าวตลอดระยะทาง 10 ไมล์เท่าที่จะทำได้ นั่นทำให้มีโอกาสที่จะได้อัตราสิ้นเปลืองฯที่ 68.7 ไมล์/แกลลอน นอกจากนั้น Fujiki ยังแนะอีกว่า ไม่ควรใช้เข้าเกียร์ว่างในการชะลอความเร็วเพื่อหยุดรถเพราะการเข้าเกียร์ ว่างจะทำให้ระบบจ่ายน้ำมันทำงาน ฉะนั้นคุณจะต้องเข้าเกียร์อื่นไว้เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เข้าใจว่าคุณกำลัง ลดความเร็วอยู่ และจะสั่งการให้มีการตัดการจ่ายน้ำมัน โดยรถจะเริ่มใช้ระบบชาร์จไฟจากการเบรค(Regenerative Braking) เข้ามาแทนที่ ซึ่งการแนะนำนี้ทำให้ทีมงานของ HybridCars.com ชนะการแข่งขันขับรถประหยัดน้ำมันที่จัดขึ้นโดย Honda ซึ่งได้เชิญสื่อมวลชนต่างๆเข้าร่วมพร้อมไปกับการเผยโฉม All-New Civic รุ่นปี 2012 เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาในกรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา

ในด้านรูปลักษณ์ All-New Honda Civic Hybrid จะมีเอกลักษณ์ตรงที่แผงกระจังหน้าพร้อมแถบสีฟ้าด้านบน โคมไฟหน้าและท้ายบางส่วนเป็นสีฟ้าอ่อน ชุดล้ออัลลอยแบบ 5 ก้าน สปอยเลอร์ฝากระโปรงหลัง และไฟเบรค LED ส่วนภายในเป็นเบาะผ้าแบบพิเศษ โดยมีแผงข้างประตูที่ดูไม่เหมือนใคร

Honda Brio Eco Car

Honda Brio Eco Car ในราคา 3.999 ไปจนถึง 5.085 แสนบาท มีให้เลือก 3 รุ่น
Honda Brio Eco Car
รถยนต์ขนาดกะทัดรัดมาพร้อมเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของฮอนด้า เพื่อการขับขี่ในเมืองที่สนุก คล่องตัว ประหยัดเชื้อเพลิง ห้องโดยสารกว้างและปลอดภัย 
• ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทคโนโลยี i-VTEC ของฮอนด้า ความจุ 1.2 ลิตร 4 สูบ ให้พลัง 90 แรงม้า 
• ถุงลมคู่หน้าและระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ในทุกรุ่น นับเป็นการยกระดับมาตรฐาน สำหรับรถยนต์ในกลุ่มอีโคคาร์ 
• ให้ความคุ้มค่าเป็นเลิศ โดยราคารุ่นมาตรฐานเริ่มต้นที่ 399,900 บาท
Honda Brio เปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนทั่วโลกอย่างเป็นทางการวันนี้ ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยาม พารากอน นวัตกรรมยานยนต์ล่าสุดของฮอนด้าชิ้นนี้ คาดว่าจะ ยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่รถยนต์อีโคคาร์ในด้านการออกแบบ การจัดวาง ความสะดวกสบาย ในห้องโดยสาร อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงและราคาที่คุ้มค่าเป็นเลิศ
มร. อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้าภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้แนะนำBrioคันแรกสู่สายตาชาวโลก นี่เป็นรถยนต์ที่ผลิต ประกอบและจัดจำหน่ายในประเทศไทย เราดีใจมากด้วยเช่นกัน ที่ไทยได้รับเลือกให้เป็นผู้นำการผลิตรถยนต์รุ่นนี้สู่ตลาด นับเป็นการยืนยันขีด ความสามารถและศักยภาพที่เปี่ยมล้นของทีมงานของเรา ตลอดจนบริษัทคู่ค้าในภูมิภาคนี้ ที่คอยให้การ สนับสนุนด้านเทคโนโลยีแก่Brioด้วยดีเสมอมา” 

มร. ฟูจิโมโตะกล่าวเสริมว่า ยานยนต์ที่มีขนาดกะทัดรัด ราคาย่อมเยา และคายไอเสียสะอาด กำลังได้รับความสนใจและการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้บริโภคทั่ว โลก


“Brio จะสนองตอบความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ของผู้ที่มองหารถที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น สะดุดตา ขนาดกะทัดรัดแต่ให้ความรู้สึกกว้าง โปร่งสบาย และประหยัดเชื้อเพลิง อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่พวกเขาให้ความใว้วางใจ ในเรื่องเทคโนโลยีนำสมัยและเทคโนโลยีความปลอดภัย” มร. ฟูจิโมโตะกล่าว


Honda Brio มีความยาว 3610 มม. กว้าง 1680 มม. และสูง 1485 มม. บนฐานล้อ 2345 มม. ฮอนด้าเลือกที่ จะลดความสูงและขยายความกว้างของBrio เพื่อเพิ่มความรู้สึกกว้างสำหรับรถขนาดกะทัดรัด และการขับขี่ ที่คล่องตัวมั่นคง ลำตัวสั้นของBrioนอกจากจะช่วยให้การขับขี่คล่องตัวแล้ว ยังให้ทัศนวิสัยเป็นเยี่ยม ในทุกทิศทางอีกด้วย ซึ่งทำให้การขับขี่และการจอดรถบนถนนแคบสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น


Brio มีพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวางพอเพียง เพื่อเสริม“ความรู้สึกกว้างโปร่งสบาย” ประตูบานท้ายช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขนย้ายสิ่งของเข้า-ออกจากพื้นที่ เก็บสัมภาระ ซึ่งสามารถรองรับกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ รถเข็นเด็ก หรือแม้กระทั่งถุงกอล์ฟ


Honda Brio มีให้เลือกสองรุ่น S กับ V โดยทั้งคู่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ ความจุ 1.2 ลิตร ที่ให้พลัง 90 แรงม้า สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 และประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งปล่อยไอเสียสะอาดตามเกณฑ์มาตรฐานยูโร-4 ด้วยประสิทธิภาพของตัวถังยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนทั้ง ด้านหน้าและด้านข้างตามที่ระบุโดย UNECE 94 และ 95 ตามลำดับ ในส่วนของระบบส่งกำลัง Brioมีทั้งแบบธรรมดาและอัตโนมัติทั้งในรุ่น S และ รุ่น V ขณะที่เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT จะมีเฉพาะในรุ่น V


นอกจากนี้ ฮอนด้ายังติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งแบบเชิงป้องกันและเชิงรับ อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ซึ่งช่วยป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน และช่วยให้คนขับยังสามารถควบคุมทิศทาง ของรถได้อย่างปลอดภัย ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ถุงลมคู่หน้า โครงสร้างตัวถังเอกลักษณ์ เฉพาะตัวที่ออกแบบมาให้กระจายแรงกระแทกจากการชน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ ตัวถังรถในขณะเดียวกัน และเข็มขัดนิรภัยชนิดปรับความตึงอัตโนมัติ ล้วนเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในBrioทุกรุ่น โดยเฉพาะถุงลมคู่หน้าสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าซึ่งนับว่าเป็นการยก มาตรฐานด้านความปลอดภัย ขึ้นอีกระดับหนึ่งสำหรับผลิตภัณฑ์รถยนต์กลุ่มอีโคคาร์


จุดเด่นที่ น่าประทับใจอื่นๆ ของ Brio ทุกรุ่น มีอาทิ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) ที่นั่งหลังพับเก็บได้ พวงมาลัย ปรับระดับได้ ไฟสัญญาณประหยัดเชื้อเพลิง ECO ระบบปรับอากาศ สัญญาณเตือน (สำหรับเบรกมือ กุญแจ ไฟหน้าและเข็มขัดนิรภัย) ระบบล็อกป้องกันเด็ก กุญแจ WAVE ระบบ Immobilizer เข็มขัดนิรภัยและไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED


คุณอรนุช พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของฮอนด้ากล่าวว่า “เราจะสื่อสารกับลูกค้าภายใต้แนวคิด The Perfect Happiness หรือ ความสุขที่ลงตัว โดยมี Honda Brio เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะมอบความสุขให้กับลูกค้าของเราทั่ว ประเทศ โดยมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ราคาย่อมเยา ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ งานแสดงมอเตอร์โชว์ การแสดงคอนเสิร์ตและการสนับสนุนรายการต่างๆเพื่อเพิ่มการรับรู้ รวมทั้งการชักชวนให้เแวะเข้ามาขับขี่ทดสอบ”


ฮอนด้าตั้งราคา Brio รุ่น S เกียร์ธรรมดา ไว้ที่ 399,900 บาท และ รุ่น V เกียร์ธรรมดา 469,500 บาท ขณะที่ราคาของรุ่น V เกียร์อัตโนมัติ CVTอยู่ที่ 508,500 บาท


Brio มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ เขียวเฟรชไลม์ (เมทัลลิก), ขาวทาฟเฟต้า, ฟ้าเซรูเลียน(เมทัลลิก), เงินอลาบาสเตอร์(เมทัลลิก) และดำคริสตัล (มุก)

Wednesday, May 25, 2011

Honda jazz โฉมใหม่ ปี 2011

Honda jazz โฉมใหม่ ปี 2011 เปลี่ยนโฉมครั้งสุดท้ายก่อนเปลี่ยน body ไปเป็นรุ่นใหม่ รุ่นนี้มาพร้อมกับสีส้มใหม่ ที่เป็นสีเดียวกับ Honda FIT RS ของประเทศญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้น 5.9 แสนบาท

ฮอนด้า แจ๊ซ โฉมใหม่ ปี 2011 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่น S รุ่น V และรุ่นท็อปอย่าง SV โดยทั้ง 3 รุ่น ติดตั้งเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 120 แรงม้า ทุกรุ่นมาพร้อมถุงลมคู่หน้า Dual SRS และ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS สามารถใช้ได้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อีกทั้งมีระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด โดยในรถรุ่น S ลูกค้าสามารถเลือกระบบเกียร์ธรรมดาได้ด้วย

ฮอนด้า แจ๊ซ โฉมใหม่ ปี 2011 รุ่น SV หรือรุ่นท็อป มาพร้อมกันชนหน้า-หลังแบบสปอร์ต สเกิร์ตข้าง และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว เพื่อเสริมภาพลักษณ์ความเป็นรถสไตล์สปอร์ตให้สมบูรณ์เต็มพิกัด นอกจากนี้ยังมีสัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 จุด ไฟตัดหมอก ไฟท้ายแบบ LED และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ฮอนด้า แจ๊ซ รุ่นนี้ ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มาพร้อมถุงลมคู่หน้า Dual SRS ภายในสีดำ/น้ำเงินเข้ม กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยสไตล์สปอร์ต ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยสัมผัสปลายนิ้ว พนักเท้าแขนด้านคนขับและสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย

ฮอนด้า แจ๊ซ โฉมใหม่ ปี 2011 รุ่น V ซึ่งเป็นรุ่นกลาง ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ เช่น สัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 จุด สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย ไฟท้ายแบบ LED ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ เซ็นทรัลล็อคพร้อมสวิทช์ควบคุมที่ตำแหน่งคนขับ ถุงลมคู่หน้า Dual SRS และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 15 นิ้ว

ฮอนด้า แจ๊ซ โฉมใหม่ ปี 2011 รุ่น S มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มาพร้อมถุงลมคู่หน้า Dual SRS สัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 จุด ไฟท้ายแบบ LED และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED นอกจากนี้ยังมีเบาะนั่งด้านหลังแบบ “อัลตรา ซีท” สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อการใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์ เซ็นทรัลล็อก กุญแจรีโมท พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD กุญแจนิรภัย Immobilizer

อุปกรณ์มาตรฐานใน Honda Jazz ใหม่ ปี 2011

  • ถุงลมคู่หน้า Dual SRS
  • ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS
  • กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
  • ดิสก์เบรก 4 ล้อ
  • เครื่องเสียงซีดี MP3 1 แผ่นแบบโมดูลพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB
  • มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ระบบสัญญาณกันขโมย

ราคา Honda Jazz ใหม่ Minorchange 2011

  • รุ่น SV ราคา 715,000 บาท
  • รุ่น V ราคา 660,000 บาท
  • รุ่น S เกียร์ AT ราคา 630,000 บาท
  • รุ่น S เกียร์ MT ราคา 590,000 บาท

รายละเอียดรถ HONDA CITY 2010

รายละเอียดรถ HONDA CITY 2010
ตัวถังมีขยายใหญ่ขึ้น มีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตรสูง 1,470 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ ให้กำลัง 120 แรงม้า สามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E-20 และผ่านมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 4 อีกด้วย
ส่วนระบบส่งกำลังเปลี่ยนมาเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดควบคุมด้วยระบบ Grade Logic Control และ Shift Hold System ระบบควบคุมการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ Drive-By-Wire ระบบกันสะเทือนหน้า แบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัทและระบบกันสะเทือนหลังทอร์ชั่นบีมแบบ H-shape
ระบบเครื่องเสียงสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ iPod และเครื่องเล่น MP3 โดยใช้ช่องเชื่อมกับ USB และ AUX บนแผงคอนโซลตรงกลาง
ระบบความปลอดภัยครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ระบบดิสก์เบรกเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ (มีเฉพาะในรุ่น V และ SV) และกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
ราคา Honda City ZX S M/T ราคา 534,000
ราคา Honda City ZX S A/T ราคา 574,000
ราคา Honda City ZX V A/T ราคา 619,000
ราคา ฮอนด้า city ZX V A/T(SRS) ราคา 644,000
ราคา ฮอนด้า city ZX SV A/T(SRS) ราคา 694,000


Wallpaper Honda City






เอารูป Wallpaper Honda City สวยมาฝากครับ

List of car brands รายชื่อรถยนตร์ยี่ห้อต่างๆ

  • Ford
  • Chevrolet
  • Mistubishi
  • Toyota
  • Honda
  • Mercedes-Benz
  • Lincoln
  • Subaru
  • Mazda
  • Dodge
  • Lamborghini
  • McLaren
  • Chrysler
  • Pagani
  • Austin
  • Aston Martin
  • Alfa Romeo
  • Holden
  • Fiat
  • Volks Wagen
  • Suzuki
  • Acura
  • Audi
  • BMW
  • Bentley
  • Bugatti
  • Rolls Royce
  • GMC
  • Kia
  • Hyundai
  • Smart4two
  • Shelby
  • Desota
  • Studebaker
  • Plymouth
  • Packard
  • AMC
  • Hummer
  • Skoda
  • Pierce Arrow
  • Oldsmobile
  • Pontiac
  • Cadillac
  • Buick
  • Lexus
  • Saturn
  • Auburn
  • Cord
  • Henry J
  • Lasalle
  • Maserati
  • Porsche
  • Citroen
  • Lotus
  • Hennessey
  • Renault
  • Saleen
  • Maruti
  • Peugeot
  • Alpina
  • Ariel
  • Perodua
  • Tata
  • Tesla
  • FPV
  • HSV
  • Lincoln
  • Mercury

Tire selection การเลือกยางรถยนตร์


การเปลี่ยนยางใหม่เปรียบเสมือนการซื้อรถใหม่ เพราะยางก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของความปลอดภัย ในการขับเคลื่อนรถยนต์ ยางเป็นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นถนน ไม่ว่าสภาพถนนเปียก แห้งทางเรียบ หรือขรุขระ ยางเป็นส่วนที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลากับทุกสภาพถนน การเลือกยางรถยนต์จึงต้องเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสม

เลือกขนาดยาง (section width) และกะทะล้อ (tire's sidewall) ให้ถูกตรงตามที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์
เลือกยางที่รหัสความเร็ว (Speed Ratings) และน้ำหนักบรรทุก (load carrying capacity) ที่เหมาะสมกับรถ อายุยางต้องไม่เก่าเก็บ ผลิตมาไม่นานมากเกินไป
เช่นไม่เกิน 6 เดือน

ถ่วงล้อทั้ง 4 ล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยางถ้าเป็นไปได้ควรตรวจตั้งศูนย์ล้อ 4 ล้อ ด้วยใส่เปลี่ยนยางโดยช่างผู้มีความชำนาญและความละเอียดมีอุปกรณ์ครบ

การอ่านข้อมูลที่แก้มยาง


ที่แก้มของยางรถยนต์จะบอกขนาดของยาง, ผู้ผลิต, รุ่น,อัตราสูงสุดของการเติมลม, ความสามารถในการรับน้ำหนัก,ความเร็วสูงสุดที่สามารถรับ(วิ่ง)ได้, วันที่ผลิต(สัปดาห์/ปีคศ.),และข้อความเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆ

ตัวอย่างเช่น P235/75 R15 105S DOT 0500
P หมายถึง ถูกออกแบบให้ใช้กับรถยนต์นั่ง (passenger car)
185 หมายถึง หน้ากว้างของยาง (section width) ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร
75 หมายถึง ความกว้างของแก้มยาง มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบสัดส่วนกับหน้ากว้างของยาง
R หมายถึง เป็นยางเรเดียล ซึ่งยางเกือบทั้งหมดเป็นยางเรเดียลอยู่แล้ว ในบางโอกาสอาจจะเห็นอักษรตัวอื่นซึ่งมีอยู่น้อยมาก เช่น D หรือ B ซึ่งแสดงถึงว่าเป็นยางแบบ bias ply tire(ห้ามใช้ยางแบบเรเดียล และ bias ply tire) ผสมกัน
14 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางของกะทะล้อ มีหน่วยวัดเป็นนิ้ว
82 หมายถึง ดรรชนีน้ำหนักบรรทุก (load index) ซึ่งกำหนดโดยผู้ผลิตยาง (Rubber ManufacturersAssociation)
S หมายถึง ความสามารถในการทำความเร็วสูงสุด (Tire's maximum speed rating)
Q ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 160 กม./ชม. (99 mph)
S ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 180 กม./ชม. (112 mph)
T ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 190 กม./ชม. (118 mph)
H ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 200 กม./ชม. (124 mph)
V ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 240 กม./ชม. (149 mph)
Z ความเร็วสูงสุดมากกว่า 240 กม./ชม. (149 mph)
(ข้อควรระวัง อย่าเลือกใช้ยางที่ความสามารถในการทำความเร็วต่ำกว่า รถรุ่นนั้นกำหนด และอย่าใช้ยางที่ความสามารถในการทำความเร็วต่างกัน ใช้ร่วมในรถคันเดียวกัน) 0500 หมายถึง วันที่ผลิต
- ตัวเลขหลังตัวอักษร DOT เป็นเลข 4 หลัก จะบอกถึงวันที่ผลิต
- ตัวเลข 2 ตัวแรก 05 บอกถึงสัปดาห์ที่ทำการผลิต ในที่นี้คือ สัปดาห์ที่ 5 ของปี
- ตัวเลข 2 ตัวหลัง 00 บอกถึงปีที่ผลิต ในที่นี้คือปี ค.ศ. 2000

Fill the tire pressure การเติมลมยาง

การเติมลมยางถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการดูแลรักษายางรถยนต์ ถ้าขาดการดูแลที่ดี จะเกิดผลเสียดังนี้
เติมลมน้อยเกินไป
ยางจะบวมล่อนได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง  ดอกยางสึกผิดปกติ   อาจจะสึกที่ขอบยางข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง  สึกที่ไหล่ยางหรือ
สึกที่ปลายดอก มีความฝึดที่ผิวสัมผัสมาก ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกว่าปกติ

เติมสูบลมมากเกินไป
เมื่อได้รับแรงกระแทกจะระเบิดได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง   ดอกยางโดยเฉพาะกลางหน้ายางจะสึกมาก    ถ่ายเทการสั่นสะเทือนหรือการ
กระแทกขึ้นสู่ตัวรถได้มาก ขาดความนุ่มนวล

การเติมลมของยางล้อ
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมลม และรักษาระดับแรงดันลมในล้อคู่ให้เท่ากัน ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นยางเส้นที่มีแรงดันมากจะรับน้ำหนักมาก
ชำรุดเสียหายง่าย สึกหรอผิดปกติ เส้นที่เติมลมน้อยจะรับน้ำหนักน้อย การสึกของยางจะไม่เรียบเสมอกัน หรือสึกอย่างผิดปกติ

- ไม่ควรปรับความดันลมยางในขณะยางร้อน เนื่องจากความร้อนทำให้อากาศขยายตัว

- ยางเรเดียลเส้นลวดต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบธรรมดา

ความแตกต่างของแรงดันลมเพียง 1 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 14 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 400 ก.ก. ถ้าแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./
ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 800 ก.ก. ในกรณีแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว ยางเส้น
ที่เติมลมมาก  จะมีอายุใช้งานเพียง 70%  เส้นที่ลมยางอ่อนจะมีอายุการใช้งานเหลือเพียง 45%  การเติมลมให้เท่ากันจึงมีความจำเป็น
อย่างยิ่ง


เพราะฉะนั้น จึงควรเติมลมให้พอดี ตามเกณฑ์ที่โรงงานกำหนด หรือพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งาน นอกจากต้องเติมลมให้ถูก
ต้องแล้วจะต้องมีการตั้งศูนย์ล้อ ตั้งมุมของล้อหน้า ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานของรถยี่ห้อนั้นๆ อีกด้วย


การตรวจเช็คลมยาง ควรตรวจเช็คในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ และเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องควรเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานที่บริษัทรถกำหนด

นอกจากนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเก็บยางไว้นานๆ  ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ยางสัมผัสกับความร้อน  แสงแดด ลม ฝน ความชื้น น้ำมัน และ
สารเคมีต่างๆ  หากสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ อายุการใช้งานของยางก็จะยาวนานขึ้น

View used car การดูรถมือสอง

รถเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ทุกคน ใฝ่ฝันที่จะมีรถยนต์เป็นของตนเองไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง ยิ่งในยุคนี้ผู้อ่านคงจะทราบว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำผู้คนรายได้น้อยลงแต่ราคา รถใหม่สูงขึ้น รถมือสองหรือรถใช้แล้วจึงเป็นทางเลือกของความต้องการที่มากขึ้น เราจึงนำเสนอข้อคิด และแนวทางในการเลือกซื้อรถมือสองเพื่อป้องกันความผิดหวัง เพราะการซื้อรถมือสองนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่ ต้องพิจารณาร่วมไปกับการดูรถ เพื่อความไม่ประมาทควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดของรถที่ท่านจะซื้อ เพื่อพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของรถและส่งที่ควรคำนึงถึงในเบื้องแรกคือ เรื่องของราคาอะไหล่ว่าแพงไหม อะไหล่หายากหรือไม่ รถที่จะซื้อเป็นรถที่นิยมของตลาดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นแนวทางแรกก่อนที่จะเข้าสู่วิธีการซื้อรถด้วยการตรวจเช็คอย่าง ละเอียดต่อไป

ธุรกิจรถมือสองในบ้านเราในปัจจุบันมีการเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของแต่ละปี ประมาณ 700,000-800,000 กว่าคัน และเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการเลือกซื้อรถมือสอง ส่วนใหญ่อยู่ราคาที่ตั้งกันไว้ในตลาดซึ่งจะเป็นราคาที่ผู้ขาย (เต็นท์รถ) ตั้งเอาไว้ซึ่งรวมราคาค่าซ่อมแซม ค่าลงทุนในการปรับปรุงให้รถอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ทันทีราคาจึงอาจสูงอยู่ บ้าง แต่อาจไม่บานปลายหากผู้ขายมีความรับผิดชอบที่ดี อย่างไรก็ดี ผู้ค้ารถมือสองที่มีความซื่อสัตย์ และมีจรรยาบรรณในอาชีพก็มีอยู่บ้าง ในมุมมองของผู้บริโภคแล้ว วิธีการในการลดความเสี่ยงจากการซื้อรถมีหนทางในการตรวจเช็คที่ไม่ยากนัก เพียงท่านปฏิบัติตามกฎกติกาที่เราได้รับคำแนะนำจาก N.K. CAR PLAZA ที่ใช้ในการคัดเลือกซื้อรถมือสอง ที่จะเสนอต่อไปนี้เป็นบรรทัดฐานในการดูรถก่อนตัดสินใจ และทดลองรถคันที่ท่านจะซื้อ ประสบการณ์นั้นไม่จำเป็น ถ้าใช้ความรอบคอบ และใจเย็นในการตรวจเช็ค โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุร้ายแรงมาก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าเจ้าของรถซ่อมแซมรถแค่ให้ใช้งานได้เพื่อเอาไว้ขจายต่อ ร่องรอยต่าง ๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะถ้าซ่อมกันจริง ๆ แล้วราคาค่าซ่อมจะสูงมาก แต่สมัยนี้มีอู่คุณภาพดี ๆ ที่สามารถซ่อมงานที่เสียหากมาก ๆ ให้ดูดีเหมือนปกติ ด้วยการเปลี่ยนชิ้นส่วนและขั้นตอนการซ่อมที่พิถีพิถัน การตรวจเช็คในบางทีก็อาจจะดูไม่ออกเหมือนกัน สิ่งที่เป็นสัญญาณเตือนเป็นอย่างดีอีกข้อก็คือ เอกสารจากเจ้าของมีพิรุธหรือไม่ตรงกัน หรือหากมีการแก้ไข ควรตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้าพบข้อสงสัยมากมายในเรื่องเอกสาร เราขอแนะนำว่าท่านควรเลี่ยงซื้อรถคันดังกล่าว เพราะปัญหาที่มีอยู่ในรถจะเป็นอะไรที่ตัวแทนจำหน่ายจะไม่ยอมรับผิดชอบหลัง จากที่ท่านตัดสินใจซื้อไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่ทำไม่ นิตยสารกรังด์ปรีซ์ ต้องการที่จะเผยแพร่ข่าวสารให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงรายละเอียด และข้อแนะนำที่ถูกต้องในการซื้อรถมือสองทั่ว ๆ ไป ท่านจะได้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อรถมือสอง และวิธีการตรวจเช็ครถใช้แล้วเฉพาะหลักสำคัญ ๆ แบบง่าย ๆ ใช้คำศัพท์ที่ไม่เป็นทางการมากนัก เพื่อที่จะได้เข้าใจได้ไม่ยากนัก

ขั้นตอนที่ 1 ตรวจเช็คโครงสร้าง
ก่อนที่ท่านจะซื้อรถมือสอง ให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกตัวรถก่อน จากด้านหน้าไปจรดด้านท้ายรถ สังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขอยึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่องให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนมาอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกตดูหลาย ๆ คันมาเปรียบเทียบกัน และรถที่ถูกชนมาหนักพวกนี้เวลาที่ใช้งานไปนาน ๆ มักจะพบปัญหาตามมา และในบางครั้งศูนย์ของรถอาจจะคลาดเคลื่อนมากจนเกินที่จะแก้ไขได้ด้วย แต่ถ้าหากมีร่องรอยบ้างไม่มากนัก ก็แสดงว่ารถคันนี้มีการซ่อมแซมจากการชนมาบ้างแล้วแต่ไม่หนักมากนัก หรือถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด
การดูด้านหลังก็ให้ดูเหมือนด้านหน้าแต่โครงสร้างส่วนหลังนี้มีความสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้า ถ้าจะให้เปรียบเทียบโครงสร้างของรถกับโครงสร้างของคน ก็คงจะเปรียบได้กับกระดูกที่เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ถ้าขาเกิดอุบัติเหตุขาหัก ก็จะทำให้เดินกะเผลกเสียศูนย์ เดินแล้วไม่ปกติ เป็นต้น ซึ่งก็เหมือนกับรถยนต์ หากเสียศูนย์จนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนได้ หรือขณะขับขี่ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม โครงสร้างของรถยนต์นั้น หลายส่วนสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากจนไม่มีใครนิยมทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝากระโปรง ประตู สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนแก้มหลับที่ต่อกับเสาหลังคารถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยมเปลี่ยนกัน ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมของอู่ซ่อมจนพอจะเรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจเช็คสภาพตัวถังภายนอกและสีรถ
ลำดับถัดมาก็เป็นเรื่องของสภาพตัวถังภายนอก ให้ดูว่าสภาพของสีรอบ ๆ ตัวรถว่ามีการบวมปูดของสีหรือสีซีดด่าง ผุเป็นสนิม มากน้อยแค่ไหน เพราะการทำสีนั้นแต่ละส่วน แต่ละบริเวณนั้น เช่น บังโคลน ค่าทำสีชิ้นละ 2,000-3,000 บาท ถ้าต้องทำสีมากหลาย ๆ จุด คำนวณดูแล้วค่าทำสีจะสูงมากก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจเช็คเครื่องยนต์
คราวนี้ว่าด้วยเรื่องเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆ แม้ว่าในปัจจุบันนี้รถญี่ปุ่นจะมีเครื่องใช้แล้วจากญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่ายมากมายและหาง่ายก็ตาม แต่ราคาของเครื่องยนต์ก็เป็นเรือนพันเรือนหมื่นจึงควรตรวจเช็คอย่างรอบคอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น จากนั้นเมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้ดูว่าเครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่ และให้ฟังดูว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีเสียงดังแต็ก...แต็ก ของวาล์วหรือไม่ หรือเสียงดังกั๊ก ๆ ที่เกิดจากแคมชาฟท์หรือเพลาข้อเหวี่ยง สลักลูกสูบหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าเครื่องยนต์มีปัญหาใหญ่แน่ ๆ ต่อมาให้ลองฟังดูว่ามีเสียงของลูกปืนไดชาร์จ ไดสตาร์ทด้วย จากการฟังก็มาถึงการใช้วิธีดมกลิ่นที่ท่อไอเสียดู ถ้ามีกลิ่นไม่ฉุนมากนักก็แสดงว่าเผาไหม้ได้หมด แต่ถ้ามีกลิ่นฉุนรุนแรงหรือมีควันสีดำออกมาเวลาเร่งเครื่องก็แสดงว่าเผาไหม้ไม่หมดเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ และรถคันนั้นจะกินน้ำมันมากกว่าปกติอีกด้วย หรือถ้าเป็นควันสีขาวไหลออกทางปลายท่อ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าเครื่องหลวมมากเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจเช็คระบบแอร์

ตรวจเช็คตู้แอร์ดูว่ามีเสียงของพัดลมดังผิดปกติหรือไม่ เสียงของคอมแอร์ดังขึ้นมาไหม ซึ่งทดลองได้ไม่ยากนัก แค่ปิด-เปิดแอร์แล้วฟังเสียงดู ถ้ามีเสียดังตอนเปิด และเงียบลงตอนปิดก็แสดงว่าคอมแอร์เริ่มมีปัญหาแล้วล่ะ
ขั้นตอนที่ 5 ตรวจเช็คระบบเกียร์
สำหรับระบบเกียร์นั้นมีวิธีการตรวจเช็คแบบง่าย ๆ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ลองเข้าเกียร์ D โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อย ๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง 2,500-3,000 รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 ถึงหลักแสนแล้วแต่อาการ
เกียร์ธรรมดาก็เช่นกัน ให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อย ๆ ปล่อยคลัตช์ดู ถ้าเครื่องตับแสดงว่าคลัตช์ยังดีอยู่ แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าชุดคลัตช์กลับบ้านไปแล้ว
ขั้นตอนที่ 6 การตรวจเช็คสภาพห้องโดยสาร
การตรวจสอบภายในห้องโดยสาร ให้ตรวจเช็คอย่างละเอียดว่าระบบไฟฟ้าทั้งหลาย ระบบไฟสัญญาณต่าง ๆ บนหน้าปัดขณะที่บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON สัญญาณเครื่องหมายต่าง ๆ บนหน้าปัดจะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด ซึ่งถ้าตรงไหนยังไม่ดับแสดงว่าระบบนั้นต้องมีปัญหา เช่น ไฟ ABS ถ้าติดอยู่แสดงว่าระบบ ABS มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ และอาจจะต้องเสียเงินค่าซ่อมเป็นเงินหลายตังค์แน่ ๆ หรือถ้าไฟ AIR BAG ติดอยู่ก็แสดงว่าระบบถุงลมนิรภัยมีปัญหาแน่

Sunday, May 15, 2011

smoke black 's car สาเหตุของการเกิดควันดำในรถยนตร์

สาเหตุของการเกิดควันดำในรถยนตร์
เราลองดูว่ามีข้อไหนบางที่ตรงกับสาเหตุของรถยนตร์ของท่านครับ
  1. ไส้กรองอากาศอุดตัน ทำให้ปริมาณของอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้น้อยกว่าปกติ
  2. ตั้งปั๊มดีเซลไม่ดีพอ ทำให้มีน้ำมันเข้าไปในห้องเผาไหม้มากกว่าปกติ หรือเพื่อต้องการเพิ่มกำลังให้กัยรถยนตร์ของเจ้าของรถ
  3. บรรทุกของมีน้ำหนักมากเกินอัตรา
  4. เครื่องหลวมและการขับรถไม่ดี

Popular Posts