Thursday, July 28, 2011

เผยภาพ Honda CRV Concept Car New

CR-V ถือเป็นรถยนต์สันทนาการที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับกับความต้องการของ ลูกค้า ซึ่งรุ่นแรกเปิดตัวออกมาในปี 1995 โดยชื่อย่อมาจากคำว่า Comfortable Runabout Vehicle แต่ด้วยเหตุที่ตัวรถได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของคอมแพ็กต์รุ่นซีวิคก็เลย โดนล้อเลียนว่า Civic Recreation Vehicle

สำหรับรุ่นใหม่ถือเป็นเจนเนอเรชัน ที่ 4 ซึ่งแทนที่รุ่นที่ 3 ที่ขายมาตั้งแต่ปลายปี่ 2006 ส่วนที่เห็นอยู่นี้เป็นรุ่นต้นแบบที่คาดว่าจะนำออกจัดแสดงในปี 2011 ตามมอเตอร์โชว์ต่างๆ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นงานอย่างแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ เดือนกันยายน หรือแอลเอ มอเตอร์โชว์ เดือนพฤศจิกายน ขณะที่หน้าตาของคันจริงน่าจะได้เห็นกันในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2012 เดือนมกราคม เพราะกำหนดการที่คันจริงจะลงขายตามโชว์รูมจะมีขึ้นในปลายปี 2012

ฮอนด้ายังไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากมายเกี่ยวกับ CR-V ใหม่นอกจากระบุแค่งานออกแบบที่ยังคงสไตล์ที่เน้นความโฉบเฉี่ยวและเส้นสายบน ตัวถังรอบคัน ตัวถังที่ทำตลาดเป็นแบบ 5 ประตูซึ่งคาดว่าในแง่ตัวเลขของมิติตัวถังคงไม่ต่างจากสายพันธุ์ที่ 3 มากนัก และอาจจะใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อย

‘สำหรับฮอนด้า CR-V Concept ที่เห็นอยู่นี้มาพร้อมกับตัวถังที่ได้รับการออกแบบให้ดูสวยและโดดเด่น รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่สื่อให้เห็นถึงพลังในการขับเคลื่อน’ จอห์น เมนเดล รองประธานบริหารของอเมริกา ฮอนด้า กล่าว ‘แน่นอนว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตาเช่นนี้ CR-V ยังแฝงด้วยความเป็นมิตรกับผู้ใช้ และขนาดโดยรวมของตัวถังพอเหมาะ แต่เพียบพร้อมด้วยความกว้างขวางของพื้นที่ใช้สอย และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย’

เครื่องยนต์ที่ทำตลาด แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผย แต่ เชื่อว่า CR-V น่าจะยังยืนพื้นกับแบบ 4 สูบเหมือนเดิม และคงเริ่มต้นกับรุ่น 2,400 ซีซีเหมือนเดิม แต่อาจจะมีรุ่นประหยัดน้ำมันออกมาขายตอบรับกับความต้องการของลูกค้าเหมือน กับที่ซีวิคใหม่มีรหัส HF อีกทั้งฮอนด้าเผยว่า CR-V จะมีน้ำหนักตัวลดลงจากรุ่นเดิมอีกด้วยเพื่อเอื้อประโยชน์ในเรื่องความ ประหยัดน้ำมัน

สำหรับแฟนๆ ที่เฝ้ารอการเปลี่ยนโฉมของ CR-V ดูภาพพร้อมกับเก็บเงินรอไปพลางๆ ก่อน เพราะในสหรัฐอเมริกาเริ่มขายปลายปี 2012 บ้านเราถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะตามหลังอีกไม่นาน

manager.co.th

Wednesday, July 27, 2011

เลือกตัวช่วย เมื่อรถคุณยางแตก

ปัญหายางแตกนั้น นับเป็นปัญหาสำคัญมากในขั้นต้นๆที่ไม่มีใครอยากเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อทางออกเดียวอาจคือการเปลี่ยนยางไปใช้ยางอะไหล่สำรอง แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของโลกวันนี้ บางทียางแตกอาจกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ ที่ไม่ต้องกังวลใจ และยังทำให้คุณและรถปลอดภัยจากกลุ่มคนไม่หวังดี

1.Mini Air compressor สูบลมต่อชีวิต ไปได้อีกหน่อย
อย่างที่เรากล่าวไปว่ายางรถยนต์ปัจจุบันนั้นเป็นยางอัดลม ดังนั้นข้อสำคัญของการขับขี่นั้นอยู่ที่ลมในยาง หากเมื่อไรก็ตามที่ลมหายยางของคุณจะแบนแทบทันที ซึ่งข้อสำคัญในการต่อเวลาคือทำให้ยางมีลมและแข็งตัวพอที่จะเดินทางต่อไปได้

ตามปกติแล้วเราสูบลมบางโดยอาศัยเครื่องปั้มลมเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาปั้มลมให้มีขนาดเล็กจนพอที่จะพกพาได้แถมราคาก็ไม่สูง มากสามารถหาซื้อได้ในราคา 900 - หลายพันบาท แล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งในกรณีที่คุณเกิดยางแตกกลางทางก็สูบลมชั่วคราวแล้วไปต่อ ซึ่งหากอาการไม่หนักมาก คุณจะสามารถขับได้ไกลถึง 20 กิโลเมตร ที่น่าเพียงพอจะเจอช่างผู้ชำนาญการเรื่องยาง แต่ก็ควรขับช้าๆ ไปเรื่อยๆ และอย่าลืมเปิดไฟฉุกเฉินด้วย

2. Tire Puncture Sealant สเปร์ยมหัศจรรย์ช่วยคุณได้
ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องยางรั่วดูจะง่ายกว่าที่คิด และถ้าคุณเดินตามแผนกประดับยนต์บ่อยๆคงจะเคยเจอสเปร์ยซีลยาง หรือ Tyre Weld ที่อาจจะดูไร้ค่าราคาแพง แต่เมื่อยางแตก คุณอาจจะนึกอยากได้มันมาใช้ก็ได้


เจ้าน้ำยางซีลยางนี้ถือเป็นนวัตกรรมที่เหมาะมากโดยเฉพาะคุณสุภาพสตรี เพราะขอเพียงแค่มีสเปร์ยตัวนี้ คุณก็สามารถจะไปต่อได้แทบจะทันใด โดยเจ้าน้ำยามหัศจรรย์ที่ว่านี้ตัวมันคือโฟมปะยางชนิดพิเศษ ที่เพียงเสียบจุกพ่นลมเข้าไปในยาง และมันก็จะไปจับตัวอุดรอยรั่วที่เกิดขึ้นที่หน้ายาง ทำให้แรงดันลมในยางคงที่ แต่คุณก็ยังจำเป็นต้องหาปั้มเพื่อเติมลมยาง ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างสะดวกมาก แต่เพื่อการปะยางที่ถูกต้องก็ยังต้องไปร้านยางอยู่ดี
 
3.Run Flat Tire ...ออพชั่นนี้แพง แต่มั่นใจได้แน่นอน 
เราหลายคนอาจจะเคยได้ยินกิตติศักดิ์ของยาง Run Flat Tire หรือ แปลตรงตัวง่ายเลยว่าถึงแบนก็ขับได้ ที่ทำให้คุณหมดห่วงไร้กังวลเรื่องของยางแตกไปได้เลย


เทคโนโลยีของยาง Run-flat tire นั้นมีการแนะนำมากสักพักใหญ่แล้ว และมันถูกติดตั้งในกลุ่มรถหรูเสียส่วนใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วไปนัก ด้วยราคาที่แพง แต่เทคโนโลยีชั้นสูงนี้ ก็ช่วยให้ไปได้ไกลถึง 90 กิโลเมตร เป็นอย่างน้อยทั้งที่มีปัญหา และมีการทดสอบในต่างประเทศว่าสามารถไปได้ไกลถึง 320 กิโลเมตร แต่โดยมากจะแนะนำไม่ให้ขับไกลเกิน 160 กิโลเมตร

อย่างไรก็ดี ทั้ง 3 ทาง เลือกสำหรับนักขับยุคใหม่นั้น ไม่สามารถช่วยคุณได้หากพบว่าอาการยางแบนของคุณเกิดจากความเสียหายที่แก้มยาง ซึ่งตามปกติมีโอกาสน้อยมากที่จะพบปัญหาดังกล่าว แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้บุกป่าตะลุยทุ่งอะไรนักทางเลือกที่ว่านี้ก็น่าจะ พอช่วยคุณไม่ต้องเหนื่อยได้


sanook auto 

Thursday, July 21, 2011

mazda 2 Groove Sports MT

Mazda 2 เปิดตัวในไทยไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 53 ที่ผ่านมา สำหรับ รถยนต์ซิตี้คาร์ แฮชแบค 5 ประตู น้องใหม่ล่าสุด จากทางมาสด้า Mazda 2 ถ่ายทอดความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวจากสายพันธ์สปอร์ตรุ่นใหญ่อย่าง Mazda RX-8 , Mazda MX-5 และ Mazda 3  ความปลอดภัยสูง การันตีด้วยรางวัล รถยอดเยี่ยมของโลก ( World Care Of The Year) ประจำปี 2551 และกว่า 50 รางวัลจากทั่วโลก
Mazda 2 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ MZR DOCH 4 สูบ 16 วาล์ว 1,500 ซีซี 103 แรงม้า แรงบิดสูงสุดถึง 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ระบบวาล์วแปรผัน S-VT และระบบวาล์วควบคุมการไหลเวียนของไอดี TSCV รัศมีวงเลี้ยว 4.9 เมตร รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงออกเทน 91 ขึ้นไป หรือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 และ E20 ถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ทั้ง 4 ล้อ
โดยราคาเปิดตัวรุ่นล่างสุดจะอยุ่ที่ 5.35 แสนบาท ถูกกว่าเพื่อนร่วมกลุ่มอย่าง ยาริส ที่เริ่มต้น 5.39 แสนบาท และ แจ๊สที่เริ่มต้นราคา 5.5 แสนบาท ส่วนรุ่นท็อปสุดไม่ถึง 7 แสนบาท
โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คนหนุ่ม สาว ที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่โดดเด่น
มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่ชอบตามแบบใคร กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ ผู้เริ่มต้นชีวิตการทำงาน
มี “เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ” หรือ เป้ วงเสลอ ดาราวัยรุ่น ชื่อดังที่ฮอตที่สุดในยุคนี้ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของมาสด้าประเทศไทย
พร้อมอัดโปรโมชั่น สำหรับลูกค้าที่จองภายในปีนี้ จะได้รับประกันภัยชั้น 1 ฟรี !!
ทางบริษัท Mazda ตั้งเป้าจะจำหน่าย Mazda 2 ให้ได้ในปีแรกนี้ถึง 15,000 คัน เลยทีเดียว

Body Colors สีตัวถังรถ

  • สีดำ แบล็ค ไมก้า
  • สีฟ้า ไอซี่ บลู เมทัลลิก
  • สีเงิน ไฮไลท์ ซิลเวอร์ เมทัลลิก
  • สีเทา เมโทรโปลิตัน เกรย์ ไมก้า
  • สีเขียว สปิริตเต็ด กรีน เมทัลลิก
  • สีแดง ทรู เรด
  • สีขาว คูล ไวท์
Mazda 2 tone color





สีภายใน

เบาะผ้าสีดำ
เบาะผ้าสีเทา-ดำ

รุ่นและราคา

  • Groove Sport MT เกียร์ธรรมดา 535,000 บาท
  • Groove Sport AT เกียร์อัตโนมัติ 570,000 บาท
  • Spirit Sport AT เกียร์อัตโนมัติ 640,000 บาท
  • Maxx Sport AT เกียร์อัตโนมัติ ราคา 690,000 บาท

Mazda 2 Sedan Groove M/T


ข้อมูลจำเพาะ

ข้อมูลทางเทคนิค Mazda 2 Sedan Groove M/T
เครื่องยนต์ Performance
ประเภทรถ
รถป้ายแดงในตลาด 564,000
เครื่องยนต์รุ่น MZR 1.5L
แบบเครื่อง 4 Inline Engine with S-VT (Sequential Valve Timing System)
ปริมาตรกระบอกสูบ(ซีซี) 1498
ความกว้างกระบอกสูบ 78.0
ช่วงชัก(มม.) 78.4
อัตราส่วนกำลังอัด 10.0:1
แรงม้าสูงสุด(แรงม้า/กิโลวัตต์/รอบต่อนาที) 103HP /6000
แรงบิดสูงสุด(นิวตัน-เมตร-รอบต่อนาที) 13.8 Kg-m/4,000
ระบบจ่ายน้ำมันและระบบจุดระเบิด Multipoint EFI
มาตรฐานไอเสีย
มิติภายนอก ก*ย*ส(มม.) 1,695 x 4,244 x 1,483
ห้องโดยสาร ก*ย*ส(มม.)
ความยาวช่วงล้อ(มม.) 2,490
ความกว้างช่วงล้อ(มม.) 1,475 (หน้า) 1,465 (หลัง)
ระดับต่ำสุดจากพิ้น(มม.)
น้ำหนักตัวรถ(กก.)
น้ำหนักบรรทุกสูงสุด(กก.)
น้ำหนักลงเพลา(หน้า/หลัง)
ความจุห้องสัมภาระท้าย(ลิตร)
รัศมี วงเลี้ยวแคบสุด(ม.)
ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร
สัมประสิทธิแรงต้าน
ความเร็วสูงสุด 175 กม/ชม
อัตราเร่งสูงสุด
อัตราการใช้งานในเมือง(กม./ลิตร) 9.3
อัตราการใช้งานนอกเมือง(กม./ลิตร) 13.8
เฉลี่ย(ลิตรต่อ 100 กม)
อัตราการปล่อยสาร คาร์บอนไดอ๊อกไซด์(CO2 (g/km)(กรัม/กม.)
ระบบขับเคลื่อน ความปลอดภัย
ระบบเกียร์ M/T 5 speed
อัตราทดเกียร์1 3.416
อัตราทดเกียร์2 1.842
อัตราทดเกียร์3 1.290
อัตราทดเกียร์4 0.972
อัตราทดเกียร์5 0.775
อัตราทดเกียร์6 -
อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 3.214
อัตราทดเฟืองท้าย 4.105
ระบบขับเคลื่อน FF
ระบบกันสะเทือน อิสระ แบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบช่วงล่างหลัง แบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเทรลลิ่งอาร์ม
ระบบเบรกหน้า ดิสก์เบรก
ระบบเบรกหลัง ดรัมเบรก
ระบบคลัท
ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนี่ยนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPAS)
พวงมาลัยหมุนสุด(รอบ)
ระบบเบรก ABS
ระบบกระจายแรก EBD
ถุงลมนิรภัย
คานกันกระแทก
เข็มขัดนิรภัย
ไฟเบรก
ระบบกันขโมย
อุปกรณ์ความปลอดภัยพิเศษ

อุปกรณ์มาตรฐาน

อุปกรณ์ภายนอก และอุปกรณ์แต่งรถ
สีรถ
ไฟหน้า-หลัง
กระจกมองข้าง
กระจก
กันชน
มือจับประตู
ยางกันโคลน
ขนาดยางล้อหน้า 185 / 55 R15
ขนาดยางล้อหลัง 185 / 55 R15
ขนาดวงล้อหน้า 15 x 6.0J
ขนาดวงล้อหลัง 15 x 6.0J
อุปกรณ์เพื่มเติมพิเศษ(แต่งรถ)
อุปกรณ์ภายใน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
วัสดุหุ้มเบาะ
ระบบเบาะ
แผงคอนโซล
เซ็นทรัลล็อก
กระจกมองข้าง
กระจกหน้าต่าง
ช่องเก็บของในรถ
มาตรวัดต่างๆ
ไฟเตือน
กุญแจ
เครื่องเสียง
แผงเครื่องปรับอากาศ
อุปddกรณ์พิเศษ

ราคา

564,000

ข้อมูลอื่นๆ

ความเร็วสูงสุด และรอบเครื่องยนต์ในแต่ละเกียร์ (Groove MT)
เกียร์ ความเร็ว รอบเครื่องยนต์
1 50 7,000
2 92 6,800
3 132 6,800
4 175 6,800
5 175 5,300

Toyota Vigo Champ กลับมาอีกครั้งพร้อมสมรรถนะที่เร้าใจ


ภายนอกค่ายสามห่วงได้มีการปรับหน้าตาของกระบะตัวแสบของค่ายใหม่จากเดิม ที่มีลุคดุดันคล้ายตัวนอกจนเป้นที่ชื่นชอบของหลายคนแต่ครั้งนี้ รถกระบะแชมป์ตัวจริงกลับมาพร้อมใบหน้าที่มีการเปลี่ยนโฉมตั้งแต่หัวจรดท้าย โดยเฉพาะใบหน้าที่ได้รับการปั้นแต่งให้ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เปลี่ยนยกชุดตั้งแต่ ไฟหน้า กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่ออกแนวหรูหรา กันชนหน้าที่ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับแก้มข้าง และในรุ่นใหญ่พรีรันเนอร์และ ขับเคลื่อน4ล้อยังปรับเสริมโป่งหรือ Over Fender ให้ดูดุดันกว่ารุ่นก่อนในสไตล์สปอร์ตด้วย

ไม่เพียงแค่กายภายนอกเท่านั้น แต่ในจิตวิญญาณของ Toyota Hilux Vigo ใหม่นั้น ยังมาพร้อมกับแชสซีชิ้นเดียว Top Platform เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางด้านโครงสร้างหลักของตัวรถ เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนส่วนอื่นๆที่ยังตอบสนองไม่ได้มากเช่นในรุ่น Smart Cab มีการเพิ่มเปิดปิดมากขึ้นถึง 92 องศา และยังให้ทางเข้าออกที่กว้างมากขึ้นถึง 51 มิลลิเมตร ในขณะที่ล้อมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นขอบ 16 นิ้ว แทบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น 4 ประตูในกลุ่มขับ 2 ยกสูงหรือ Prerunner และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ยกชุดไปใช้ขอบ 17 จากโรงงาน


ในห้องโดยสาร Toyota Vigo ใหม่มาพร้อมการตบแต่งที่ใหม่หมดจดเริ่มตั้งแต่คอนโซลหน้าที่ตอบรับเข้ากัน ได้ดีกับภายนอกแต่ยังความเป็นกระบะอยู่พอสมควร ที่ยังมีมาตรวัดแบบใหม่ที่ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ในขณะที่รุ่นสมาร์ทแค๊ปและ 4 ประตูดับเบิ้ลแค๊ปนั้นยังมาพร้อมกับพวงมาลัยแบบมัลติฟังชั่น ที่ยังมีออพชั่นพิเศษต่างๆ เช่น ในรุ่น 3.0 G 4X4 จะมีเบาะปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ที่ยังมีระบบเครื่องเสียง 2 Din มาพร้อมช่อง Aux และ USB สามารถเล่น CD-MP3 1 แผ่นได้มาเป็นมาตรฐานใหม่ ที่รุ่น 4 ประตูยังใส่ระบบ Cruise control มาให้อีกด้วย

ด้านเครื่องยนต์ โตโยต้าได้มีการแนะนำเทคโนโลยีใหม่ให้สอดรับในการตอบสนองการขับขี่กับการ เปลี่ยนแปลงที่เน้นหนักในกลุ่มเครื่องยนต์ดีเซล ภายใต้เทคโนโลยี "Diamond Tech" โดยยังเน้นหนักในด้านการประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ด้วยการเพิ่ม Diamond like Carbon Coating เข้ามาในหัวฉีดน้ำมันเพิ่มการสั่งจ่ายให้เป็นฝอยมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันกับเปลี่ยนชุมควบคุมเครื่องยนต์ใหม่ หันมาใช้ ECU แบบ 32 บิท พร้อมระบบเรียนรู้การสั่งจ่ายน้ำมันอันชาญฉลาด "ฉีดเท่าที่ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น" ที่ยังควบสมรรถนะการขับขี่ชั้นเยี่ยมจากเทคโนโลยี VN Turbo ที่สามารถปรับครีบแปรผันตามสั่งได้ดั่งใจ
ทั้งหมดนี้คือความเปลี่ยนแปลงใน Toyota Vigo ใหม่ ที่ตอนนี้ก็เริ่มลงโชว์รูมหลายๆแห่งแล้วทั่วประเทศ และมีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันที่ 22-24 กรกฎาคมนี้ ส่วนราคาจำหน่ายนั้นสามารถดูได้ตามราคาจำหน่ายข้างล่างเลยครับ

ราคาจำหน่าย 2012 Toyota Hilux Vigo Champ

รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ
Toyota Hilux Vigo Champ 4x2 2.5J-PS M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 587,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ 4x2 2.5E M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 633,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ 4x2 2.5G M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 681,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ 4x2 3.0G M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 716,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ 4x2 2.7J VVT-i M/T เครื่องยนต์เบนซิน - 617,000 บาท

รุ่นขับ 2 ยกสูง
Toyota Hilux Vigo Champ Prerunner 2.5E M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 657,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ Prerunner 2.5E M/T ABS เครื่องยนต์ดีเซล - 697,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ Prerunner 3.0G M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 747,000 บาท

รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
Toyota Hilux Vigo Champ 4x4 3.0G M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 807,000 บาท
Toyota Hilux Vigo Champ 4x4 2.5E M/T เครื่องยนต์ดีเซล - 730,000 บาท


D4D ขุมพลังของ Toyota  Vigo Champ

Wednesday, July 20, 2011

Isuzu mu-7 Choiz

Isuzu mu-7 Choiz



ภายในกว้างนั้งสบาย

Isuzu mu-7 Titanium

รูปทรงสวยถูกใจจริงๆ

Chevrolet Captiva 2012 ไมเนอร์เชนจ์แบบคุ้มค่าแก่การรอคอย


กันยายนปีที่แล้ว (2010) เชฟโรเลต เผยภาพออฟฟิเชียลรุ่นปรับโฉมของ Chevrolet Captiva ทั้งหน้า - หลัง แบบที่แฟนๆ เห็นแล้วคงต้องยิ้มอย่างพอใจ ไม่ต้องเล็งว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง เพราะด้านหน้าเด่นมาเลยกับเอกลักษณ์ของ เชฟโรเลต รุ่นใหม่ๆ ทั้งการจัดวางตำแหน่งไฟหน้า และกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยเส้นนอน รวมกันชนกับกระจังหน้าไว้ในระนาบเดียวกัน

ภายในมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ทั้งวัสดุตกแต่งบริเวณแผงคอนโซล และปรับเปลี่ยนการจัดวางเล็กน้อย ให้มีกลิ่นอายแบบ dual-cockpit สามารถเลือกได้ว่าต้องการ 5 หรือ 7 ที่นั่ง เมื่อพับเบาะราบลงทั้งหมด จะได้ห้องจุสัมภาระที่เชฟโรเลตบอกว่า ใหญ่ที่สุดในคลาสเดียวกัน (แต่ก็แน่นอน ที่จะต้องเหลือที่นั่งเพียงแค่ 2 ที่)

เครื่องยนต์เบนซินมี 2 ทางเลือก เริ่มที่ 4 สูบ 2.4 ลิตร VVT 167 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 10.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยประมาณ 10 กม./ลิตร อัตราคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 210 กรัมต่อกิโลเมตร

อีกหนึ่งทางเลือกของเครื่อง ยนต์เบนซิน คือ วี6 3.0 ลิตร VVT ไดเรคอินเจคชั่น 258 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย 198 กม./ชม. แลกด้วยอัตราคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียมากขึ้น 252 กรัมต่อกิโลเมตร ถือว่าแรงสุดในกลุ่มคอมแพคท์ SUV ในตลาดยุโรป ซึ่งจะเปิดตัวตามมาในช่วงกลางปี 2011


เครื่องยนต์ดีเซลก็มีให้เลือก 2 แบบเช่นกัน คือ 4 สูบ DOHC 2.2 ลิตร เทอร์โบ คอมมอนเรลแรงดันสูง ต่างกันที่แรงม้าและแรงบิด บล็อคแรก 163 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 9.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 189 กม./ชม. ส่วนอีกบล็อก 184 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 9.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.

ทั้งคู่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน โดยทำได้ประมาณ 15 กม./ลิตร อัตราคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียก็ดีกว่า 170 กรัมต่อกิโลเมตร ผ่านมาตรฐาน Euro5

ระบบส่งกำลังมี 2 ทางเลือกของการจับคู่ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ DSC - Driver Shift Control รุ่นแสตนดาร์ดที่จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะคือ เบนซิน 2.4 และดีเซล 2.2 (163 ม้า) ส่วนระบบระบบขับเคลื่อน สามารถเลือกได้ว่าต้องการแบบขับหน้า หรือขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์


:www.motortrivia.com

Chevrolet Captiva แคปติวา เบนซิน 2.4

หลังจากการเปิดตัว “ครูซ” เก๋งคอมแพกต์รุ่นใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เชฟโรเลตเสริมทัพด้วยรถธง “แคปติวา ใหม่” หรือโฉมไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งในช่วงแรกจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร จากนั้นช่วงปลายปี ถึงจะมีเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรตามมา (ย้ำว่า 2.0 ลิตร ไม่ใช่ 2.2 ลิตรอย่างที่หลายคนเข้าใจ)
ในรุ่นนี้อาจจะเรียกเป็น “บิ๊กไมเนอร์เชนจ์” ของ “แคปติวา” ก็คงไม่ผิด เพราะนอกจากหน้าตาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของออปชัน และระบบขับเคลื่อนก็ปรับไปพอสมควร

โดยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แม้จะเป็นบล็อกเดิม แต่ปรับประสิทธิภาพและประสิทธิผลใหม่ พร้อมรองรับแก๊สโซฮอล์ อี85 (ใช้เบนซินล้วนๆ หรือเติมแก๊สโซฮอล์ อี10 อี20 อี 85 ได้หมด) ทั้งปั๊มแรงดันน้ำมัน หัวฉีด รวมถึงกล่องประมาวลผลอีซียู ถูกปรับจูนใหม่ สุดท้ายแล้วให้กำลังสูงสุด 168 แรงม้า (เดิม 142 แรงม้า)ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 229 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (เดิม 5 สปีด)

ช่วงล่างหน้าเป็นอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ขึ้น หลังมัลติลิงค์ 4 จุดยึด ซึ่งรวมๆถูกปรับให้มีเสถียรภาพ และหวังลดแรงสั่นสะเทือนให้น้อยลง ขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า LSX และ LS จะใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 235/60R17 ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ LT เป็น ล้ออัลลอยขนาด 18 ประกบยาง 235/55 R18 และตัวท็อป LTZ ใช้ล้ออัลลอยวงโต19 นิ้ว พร้อมยาง 235/50 R19
ภายในเน้นความหรูหรา แต่ไม่หวือหวาไปกว่าเดิม ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มมาให้ทุกรุ่นคือ เบรกมือไฟฟ้าและเครื่องเสียงเล่นวิทยุ ซีดี เอ็มพี3 พร้อมระบบเสียง 3 มิติ ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก AUX ในรุ่น LSX LS LT ส่วนรุ่น LTZ จะเพิ่มช่องต่อ USB พร้อมขับเสียงด้วยลำโพง 8 ตัว ขณะเดียวกันพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันในรุ่น LTZ จะจัดเต็มทั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ครูสคอนโทรล ปุ่มปรับแรงลมของเครื่องปรับอากาศ


ออปชันความปลอดภัยจัดเป็นมาตรฐานทั้ง ระบบช่วงล่างยกตัวอัตโนมัติ (Self-Levelizer) ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบเสริมแรงเบรกไฮโดรลิก (HBA) ระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ (EBD) และถุงลมนิรภัยคู่หน้า ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ LT และ LTZ จะเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP) ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (Hill Start Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control)

การเข้าออกภายในห้องโดยสารสะดวกสบาย ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้นเพียง 200 มม. พร้อมบานประตูองศาเปิดกว้าง ขณะที่ตำแหน่งคนขับมองสภาวการณ์ภายนอกชัดเจน ตลอดจนปุ่มควบคุมต่างๆ รวมถึงหน้าจอทัชสกรีน 7 นิ้ว พร้อมระบบเนวิเกเตอร์ ใช้งานถนัดมือ
ส่วนระบบเสียง3 มิติ ต้องยอมรับว่าของเขาดีจริง ด้วยลำโพง 8 ตัว ที่จัดทิศทางเสียงให้ละเอียดคมชัดเหมือนนั่งอยู่ในสตูดิโอ หรือโอเปราเฮ้าส์ เพราะสามารถแยกเสียงเครื่องดนตรีเป็นชิ้นๆ หรือประมวลว่าเสียงมาจากทิศทางใกล้ไกล-ซ้ายขวา ซึ่งคุณภาพเสียงจะแจ่มสุดๆกรณีฟังเพลงจากแผ่นซีดี
      
ขุมพลังเบนซิน 2.4 ลิตร 168 แรงม้า อัตราเร่งตอบสนองดีขึ้นกว่าโมเดลเดิมนิดหน่อย แต่อย่างไรแล้วก็ไม่ถึงกับเร็วทันใจนัก ยิ่งช่วงต้องการพลังหรือเร่งแซงกะทันหันจะมีจังหวะรออยู่นิดๆ ซึ่งเข้าใจว่านี่เป็นรถครอบครัวอเนกประสงค์ บุคลิกต่างๆก็อยู่ในระดับที่ควรจะเป็นคือ ขับสบาย นั่งเพลิน

อย่างไรก็ตามส่วนที่ต้องชม และเซ็ทมาได้อย่าลงตัวคงเป็นเรื่อง การส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบ่งถ่ายกำลังสู่ล้อคู่หน้า-หลังได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนระบบควบคุมการทรงตัว ESP ช่วยให้เอสยูวีคันโต ลุยผ่านทุกสภาพถนนได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด

ในส่วนของอัตราบริโภคน้ำมันในทริปนี้ อาจจะขับโหด ผ่านขึ้นเขา - ลงเขา บางช่วงมีจอดนิ่งติดเครื่องเป็นระยะ สุดท้ายจอแสดงผลแจ้งไว้ 12.5 ลิตร/100 กม. หรือ 8 กม./ลิตร

: manager.co.th

Benz c - class full option - อัดออปชั่นเพียบ



เบนซ์ได้ฤกษ์ ปรับโฉมรุ่นC-Class ใหม่เทียบได้กับ CLS เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นและระบบนำทางแบบพร้อมการแสดงผลแบบสามมิติ เคาะราคาเริ่มต้นที่ 2.739 - 3.249 ล้านบาท


ศาสตราจารย์ ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า C-Class โฉม ใหม่จึงได้ยกระดับมาตรฐานใหม่ในด้านความคุ้มค่าและคุณภาพของรถเซ็กเม้นท์นี้ รวมทั้งภายในยังได้ปรับให้ดูทันสมัยด้วยระบบสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดที่ไม่ เพียงแต่การปรับเปลี่ยนจอแสดงผลใหม่เท่านั้น แต่ยังเพิ่มการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอีกด้วย


"จากยอดขายในปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น C-Class เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากที่สุด ดังนั้นการปรับโฉมใหม่ตามนิยาม A new class of agility นับเป็นการพัฒนาอีกขั้น ด้วยการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า นอกจากนั้นเราได้สร้างความประทับใจและความมั่นใจให้กับลูกค้าผ่านการบริการ หลังการขาย"


ภายนอกกันชนหน้าใหม่ที่ รวมทั้งกระจังหน้าสีเงินที่ดูสะดุดตา ด้วยรูปทรง V-Shape พร้อมฝากระโปรงหน้าใหม่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาสอดรับกับความเด่นสะดุดตา ของโคมไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ซึ่งทำงานควบคู่กับระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System - ILS) ที่สามารถปรับระดับการส่องสว่างโดยอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง
ภายในแผงหน้าปัดใหม่ดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัย มีดีไซน์ ด้วยลายเส้นที่ต่อเนื่องไปจนถึงแผงข้างประตูด้านหน้าทั้งสองข้าง จอแสดงผลความละเอียดสูง นอกจากนั้นภายในยังตกแต่งเพิ่มเติมให้ดูทันสมัยด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในการ สื่อสารด้วยการเชื่อมต่อเพียงปลายปุ่มสัมผัสบนพวงมาลัย โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบสื่อสารหรือ Telematics ที่มีมาพร้อมกับรุ่น C-Class ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใหม่ของรถรุ่นนี้ และระบบนำทางแบบพร้อมการแสดงผลแบบสามมิติ จุดเด่นของการตกแต่งภายในของเมอร์เซเดส-เบนซ์ C-Class ใหม่นี้ได้ถูกออกแบบให้มีจุดเด่นคล้ายกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS ใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะพวงมาลัยลายโครเมียมซึ่งสื่อถึงความเป็นสไตล์สปอร์ตในรุ่น AVANTGARDE


นอกจากนี้ลูกค้าจะได้รับการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และสิทธิพิเศษ Star Assist โปรแกรมพิเศษที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น C-Class นับเป็นรุ่นที่มียอดขายสูงที่สุด และมีความสำคัญเป็นอย่างมากกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2007 ได้มีจำหน่ายรถยนต์รุ่นดังกล่าวไปแล้วกว่า 1 ล้านคันทั่วโลก




รุ่นราคา (บาท)
C 200 BlueEFFICIENCY2,739,000
C 200 BlueEFFICIENCY ELEGANCE2,929,000
C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE3,189,000
C 250 CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE3,249,000


ที่มา manager.co.th

Vigo and Fortuner สองคู่หูถล่มตลาด

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ยึดชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี จัดงานเปิดตัวโฉมไมเนอร์เชนจ์ของ ปิกอัพ “ไฮลักซ์ วีโก้” ซึ่งเพิ่มคำต่อท้ายว่า “แชมป์” และรถอเนกประสงค์ “ฟอร์จูนเนอร์” ชูความทันสมัยของการออกแบบใหม่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมขุมพลังที่ให้สมรรถนะยอดเยี่ยม และประหยัดน้ำมันหมดจด ทั้งยังใช้นักฟุตบอลชื่อดัง “คริสเตียโน โรนัลโด” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญโฆษณา ขณะที่ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่า “วีโก้ แชมป์” จะปรับขึ้น 10,000-20,000 บาทแล้วแต่รุ่น ส่วน “ฟอร์จูนเนอร์” ประมาณ 40,000 บาท
ไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ ปรับให้เด่นแน้นสมรรถนะ
เริ่มจากปิกอัพยอดนิยม “ไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์” ออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งกระจัง กันชน โคมไฟ ไฟตัดหมอก (เฉพาะเกรด G และ Prerunner 2.5E ABS) ฝากระโปรงลงตัวกับช่องดักลมขนาดใหญ่ขึ้น โคมไฟหลัง ไฟเบรกดวงที่ 3 สีใหม่ รวมถึงกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว โป่งล้อ (เฉพาะรุ่น Prerunner และ 4x4) ล้ออัลลอยใหม่ ขนาด 16 และ 17 นิ้ว ในส่วนของเกรด J ก็ใช้ล้อกระทะเหล็กพร้อมฝาครอบลายใหม่เช่นกัน ขณะที่เสาวิทยุเป็นแบบพับเก็บได้

นอกจากนี้ ในรุ่นสมาร์ทแค็บ (ประตูตู้กับข้าว) ยังสะดวกสบายทุกการเข้าออกและการใช้งาน ด้วยประตูและบานเปิดที่กว้างถึง 92 องศา หรือเพิ่มความกว้างทางเข้า-ออกห้องโดยสารอีก 51 เซนติเมตร พร้อมเทคโนโลยีระบบล็อก 2 ชั้น เพิ่มอรรถประโยชน์ของการใช้งาน ปลอดภัยด้วยระบบป้องกันการหนีบขณะปิด พร้อมสัญญาณเตือนเมื่อบานแค็บปิดไม่สนิท

ภายในได้รับการปรับแต่งพอเป็นพิธี ทั้งแผงคอนโซลหน้า ลูกบิดปรับอุณหภูมิแอร์ มาตรวัดเรืองแสงแบบใหม่ พวงมาลัยMulti-function และที่เก็บแว่นตา-ไฟส่องแผนที่ดีไซน์ใหม่ แบนเรียบกับเพดานหลังคา ที่สำคัญ วีโก้ ใหม่ ยังเพิ่มช่องต่ออุปกรณ์ USB / AUX ที่มาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงขนาด 2Din เล่น CD 1แผ่น รองรับ MP3 และ WMA
เหนืออื่นใดในรุ่นดับเบิลแค็บยังเสริมด้วย เบาะที่นั่งด้านคนขับ ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น 3.0G 4x4) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ “Cruise Control” (เฉพาะรุ่น 3.0 G 4x4 เกียร์อัตโนมัติ) ชุดเครื่องเสียงใหม่ ขนาด 2Din พร้อมจอสัมผัสขนาด 6.1 และเครื่องเล่น DVD 1แผ่น (Prerunner และ 3.0G 4x4) หรือแบบเครื่องเล่น CD 1 แผ่น รองรับ MP3 และ WMA ช่องต่ออุปกรณ์ USB/AUX และกล้องมองหลัง ทำงานสัมพันธ์กับเกียร์ถอยหลัง (เฉพาะ Prerunner และ4x4 3.0G)

ในส่วนช่วงล่าง TOP Platform โครงสร้างเฟรมชิ้นเดียวยาวตลอดคันไร้รอยต่อ มีความแข็งแรงทนทาน ทนต่อแรงดึง และการบิดตัวสูง ระบบกันสะเทือนปรับปรุงให้นิ่มนวล โดยด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ดับเบิ้ลวิชโบนและคอยล์สปริง หลังแบบแหนบซ้อน

ความปลอดภัยสูงสุด ระดับดิสก์เบรกหน้า พร้อมครีบระบายความร้อน / ดรัมเบรกหลังพร้อมวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรกอัตโนมัติ LTS and Super LSPV ถุงลมเสริมความปลอดภัย แบบ Dual SRS Airbag คู่ด้านหน้า ปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากแรงกระแทกด้านหน้า (เฉพาะ เกรด G)

ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกเพื่อความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางและหักหลบสิ่งกีดขวางได้ในขณะเบรก (เฉพาะเกรด G และ E ABS)

ตลอดจนโครงสร้างนิรภัย GOA (Global Outstanding Assessment) พร้อมคานประตูใหญ่ และหนา คานกันกระแทกด้านข้าง, พวงมาลัยแบบยุบตัวได้, เข็มขัด ELR 3 จุด ปรับระดับสูงต่ำได้,แป้นเหยียบเบรกแบบยุบตัวได้, ไฟเบรกดวงที่ 3, แผงไล่ฝ้ากระจกหลัง,กระจกบังลมหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัยพร้อมแถบกรองแสง, วาล์วตัดน้ำมันอัตโนมัติ, โครงเสาหลังคาและหลังคารถด้านในได้รับการออกแบบให้มีความอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ช่วยผ่อนแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เครื่องยนต์กำลังสูงสุดแรงบิดสูงสุดวางในรุ่น
1KD – FTV 3.0 ลิตร
ไดเรกอินเจ็กชัน 16 วาล์ว
VN เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
163 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที343 นิวตัน-เมตร
ที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที
รุ่นมาตรฐาน ขับเคลื่อน 2 ล้อ
สมาร์ทแค็บ ทุกระบบขับเคลื่อน
ดับเบิลแค็บ ทุกระบบขับเคลื่อน
2KD – FTV (VNT) 2.5ลิตร
ไดเรกอินเจ็กชัน 16 วาล์ว
VN เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
144 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที343 นิวตัน-เมตร
ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที
สมาร์ทแค็บ Pre-runner และ 4x4
ดับเบิลแค็บ ทุกระบบขับเคลื่อน
2KD – FTV (I/C) 2.5ลิตร
ไดเรกอินเจ็กชัน 16วาล์ว
เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
120 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที325 นิวตัน-เมตร
ที่ 2,000 รอบ/นาที
สมาร์ทแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ Pre-runner
ดับเบิลแค็บ Pre-runner
2KD – FTV 2.5ลิตร
ไดเรกอินเจ็กชัน 16 วาล์ว
เทอร์โบ
102 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที200 นิวตัน-เมตร
ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที
รุ่นมาตรฐาน / เอ็กซ์ตราแค็บ
สมาร์ทแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
ดับเบิลแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
2TR – FE 2.7 ลิตร
เบนซิน VVT-I 16 วาล์ว
160 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที241 นิวตัน-เมตร
ที่ 3,800 รอบ/นาที
รุ่นมาตรฐาน ขับเคลื่อน 2 ล้อ
สมาร์ทแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
ดับเบิลแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ


Fortuner
ฟอร์จูนเนอร์ ชูหรู-อเนกประสงค์
ด้านปิกอัพดัดแปลง “ฟอร์จูนเนอร์ ไมเนอร์เชนจ์” ปรับรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ ทั้งกระจังหน้าโครเมียม กันชนหน้า และกันชนหลัง ไฟตัดหมอก ฝากระโปรงลงตัวกับช่องดักลมใหม่ โคมไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ พร้อมที่ฉีดล้างไฟหน้า (เฉพาะในรุ่น 3.0V 4x4) โคมไฟท้ายแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบปรับด้วยไฟฟ้า โป่งล้อประกบล้อแมกซ์อัลลอยลายใหม่ ขนาด 17” และยางขนาดใหญ่ 265/65 R 17 รวมถึงกล้องมองหลัง เพิ่มปลอดภัยทุกครั้งเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (ยกเว้นในรุ่น 2.5G)
ภายในก็ใหม่ ไล่ตั้งแต่ พวงมาลัย Multi-function แผงคอนโซลหน้าและกลาง พร้อมลายไม้ แผงประตูข้างแบบทูโทน (ในรุ่น 3.0V และ 2.7V) และเมทัลลิก (ในรุ่น 2.5G) เบาะผ้าลายใหม่สี 2 โทน (เฉพาะรุ่น 2.5G) หัวเกียร์ลายไม้ใหม่ (ในรุ่น 3.0V และ 2.7V) ลูกบิดปรับอุณหภูมิแอร์ ดีไซน์ใหม่ (เฉพาะรุ่น 2.5 G) ที่เก็บแว่นตา/ไฟส่องแผนที่แบนเรียบกับเพดานหลังคา

ระบบเครื่องเสียง 2 Dinเล่นวิทยุ ซีดี ดีวีดี พร้อมระบบ MP3/WMA และลำโพง 6 ทิศทาง พร้อมระบบ ASL ปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ พร้อมช่องต่อ USB/AUX ส่วนรุ่น3.0V Navi เป็นเครื่องเล่นแบบ 1DVD พร้อมจอสัมผัสขนาด 6.5” และระบบนำทาง Navigator สะดวกสบายด้วยฟังก์ชันการค้นหาสถานที่-แนะนำเส้นทาง-ที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ พร้อมเมนูบนจอแสดงภาพแบบ Touch-screen


ด้านระบบเชื่อมต่อแบบ Bluetooth เชื่อมต่อระบบ Hand free ของโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การสนทนา และควบคุมโทรศัพท์เป็นไปอย่างง่ายดาย และปลอดภัยในการขับขี่ ผ่านเครื่องเสียงได้แบบ Hand-free (เฉพาะในรุ่น 3.0V และ 2.7V)

ระบบความปลอดภัย จัดระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control / ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control) / ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution) และ ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) (ในรุ่น 3.0 V)

ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก, วาล์วตัดน้ำมันเชื้อเพลิงอัตโนมัติ, ไล่ฝ้ากระจกหลัง, เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง (เฉพาะรุ่น 2.5G) กุญแจรีโมท Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS


โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ประกอบด้วยคานรับแรงกระแทกในประตูทุกบาน วัสดุช่วยกระจายแรงกระแทก ถุงลมเสริมความปลอดภัยคู่หน้า ด้านคนขับและผู้โดยสาร Dual SRS Airbag (ในรุ่น 3.0V และ 2.7V) และ เฉพาะด้านคนขับ (ในรุ่น 2.5G) - เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทั้ง 3 แถวที่นั่ง ปรับระดับสูง-ต่ำได้, แป้นเบรกนิรภัย และพวงมาลัยยุบตัวได้


“ฟอร์จูนเนอร์ ไมเนอร์เชนจ์” ยังใช้โครงสร้างของระบบกันสะเทือนด้านหน้า แบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง แบบโฟร์ลิงก์ พร้อมคอยล์สปริง

ด้านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด (ในรุ่น 2.5G) และอัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม 3 ทางเครื่องยนต์ คือ 1 KD-FTV (I/C) 3000 ซีซี ดีเซลคอมมอนเรล ไดเรกอินเจ็กชัน 16 วาล์ว VN เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ 2 KD-FTV (I/C) 2500 ซีซี ดีเซลคอมมอนเรล ไดเรกอินเจ็กชัน 16 วาล์ว VN เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด144 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที

สุดท้ายเครื่องยนต์เบนซิน 2 TR-FE 2700 ซีซี VVT-i DOHC 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 241 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที

: manager.co.th

Popular Posts