Wednesday, October 17, 2012

Suzuki Swift Automatic CVT ตัวท็อป 5.59 แสนบาท

 บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยึดโรงแรมดุสิตธานี จัดงานเปิดตัว “ซูซูกิ สวิฟท์ โฉมใหม่” รถยนต์ตระกูลอีโคคาร์ลำดับที่ 5 ของเมืองไทย ชูสมรรถนะโดดเด่นจากช่วงล่างหนึบแน่น พร้อมเครื่องยนต์ 1.25 ลิตร แถมประหยัดน้ำมัน เคาะราคาเพียง 3 รุ่นย่อยเกียร์อัตโนมิติ CVT 469,000-559,000 บาท ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาต้องรอเดือนตุลาคม
     
       “ซูซูกิ สวิฟท์ โฉมใหม่” (All New Suzuki Swift) สวมเข้าโครงการอีโคคาร์ของรัฐบาลไทย และวางเครื่องยนต์ 1.25ลิตร (กำหนดเครื่องยนต์เบนซินพิกัดไม่เกิน 1400ซีซี)ส่วนรุ่นเดิมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรก็ยุติการทำตลาดไป
 นอกจากนี้ยังผ่านคุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงาน โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า 20 กม./ลิตร ตามมาตรฐานทางเทคนิค UNECE Reg. 101, Rev.1 Combine Modeขณะเดียวกันด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับยูโร 4 และมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัม/กม.
    

 
       สำหรับ“ซูซูกิ สวิฟท์ โฉมใหม่”ยึดพื้นฐานการพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดิม ขณะที่หน้าตาปรับเพิ่มความสดใหม่ในหลายๆจุด ทั้งกระจังหน้า กันชนหน้า โคมไฟหน้าแนวตั้งขนาดใหญ่ เส้นสายปราดเปรียวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนไฟท้ายดีไซน์ใหม่รับกับ Shoulder Line พร้อมล้อกระทะขนาด 15 นิ้วใน รุ่น GA และ GL ขณะที่ล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้วจะมาในรุ่น GLX
     
       ภายในตกแต่งสไตล์สปอร์ต คันเกียร์และสวิทช์ต่างๆ ถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ขับขี่ โดยรุ่น GLXจะเป็นพวงมาลัยหุ้มหนัง มาพร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียง
   ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกจัดมาเพียบไล่ตั้งแต่ ระบบ Keyless Push Start ช่วยให้สตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ (เฉพาะรุ่น GL และรุ่น GLX) พวงมาลัยแบบ Tile-steering ปรับระดับขึ้น-ลงได้ ในระยะ 40 มิลลิเมตร และเพิ่มฟังก์ชั่นพิเศษแบบ Telescopic ปรับระยะหน้า-หลังได้ ในระยะ 36 มิลลิเมตร (เฉพาะรุ่น GL และ GLX) ตลอดจนเบาะนั่งแบบผ้าปรับระยะขึ้นลงได้ 32 มิลลิเมตร และปรับสไลด์ได้ 24 ระดับ ส่วนเบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับได้ 60:40 เพิ่มความอเนกประสงค์
   
   
       ในรุ่น GLX ติดตั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติช่วยควบคุมอุณหภูมิ ส่วน GA,GL เป็นแบบแมนวลมือหมุนขณะที่ชุดเครื่องเสียง รองรับ CD MP3พร้อมช่อง USB (เฉพาะรุ่น GL, GLX)
       เครื่องยนต์เบนซิน รหัส K12B ขนาด 1242 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบ VVT วาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด
     
       สำหรับรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตรในรุ่นGA, GLและ 5.2 เมตรในรุ่น GLXด้านระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง และหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ทั้งยังขยายฐานล้อให้กว้างขึ้น 40 มิลลิเมตร ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่




  ความปลอดภัยจัดถุงลมนิรภัย SRS ด้านคนขับ และระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD เป็นมาตรฐานทุกรุ่น ขณะที่ในรุ่น GLX จะเสริมถุงลมนิรภัย SRS ฝั่งผู้โดยสารมาอีกหนึ่งลูก
     
       โดยซูซูกิ เพิ่งจะเริ่มผลิต“สวิฟท์ โฉมใหม่” เมื่อ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ณ โรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดระยอง และเตรียมลงโชว์รูมพร้อมขายในรุ่นเกียร์อัตโนมัติตั้งแต่ 22 มีนาคมเป็นต้นไป ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาจะเริ่มการผลิตเดือนตุลาคมนี้ โดยซูซูกิตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 คัน จากยอดขายรวมทุกรุ่น 20,000 คัน



  
ราคา“ซูซูกิ สวิฟท์ โฉมใหม่”รุ่นเกียร์ CVT
    
รุ่นราคา(บาท)
GA469,000
GL507,000
GLX559,000





Chevrolet Trailblazer 2012 รถอเนกประสงค์

 เชฟโรเลต เดินหน้าประกาศเปิดตัว “เทรลเบลเซอร์” รถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย ก่อนเผยโฉมสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ปลายเดือนนี้ โดยมาพร้อม 2 เครื่องยนต์ 2.5 และ 2.8 ลิตร และความสะดวกสบาย สมรรถนะที่รองรับทุกรูปแบบการใช้งาน ทั้งในเมืองและออฟโรด บวกกับความกว้างขวางภายใน ทำให้เทรลเบลเซอร์ โดดเด่นไม่แพ้คู่แข่ง
     
       รถต้นแบบเชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ ได้มีการเผยโฉมที่งาน “ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ในภูมิภาคตะวันออกกลางเมื่อปลายปีที่ผานมา โดยเชฟโรเลต เตรียมจำหน่ายเทรลเบลเซอร์ ใน 60 ประเทศทั่วโลก ส่วนเมืองไทยจะเริ่มต้นทำตลาดเดือนมิถุนายนนี้ นับเป็นการบุกตลาดรถเอนกประสงค์ (เซกเมนท์เอสยูวี-ดี SUV-D) ครั้งสำคัญของเชฟโรเลต ประเทศไทย
     
       เทรลเบลเซอร์ ได้รับการพัฒนาพร้อมกับรถกระบะขนาดกลางรุ่นใหม่อย่างเชฟโรเลต โคโลราโด โดยฝีมือทีมวิศวกรชั้นนำของจีเอ็ม บราซิล ซึ่งใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์รถเอนกประสงค์บนโครงสร้างรถกระบะ และในระหว่างขั้นตอนการพัฒนาเทรลเบลเซอร์และโคโลราโด ทีมวิศวกรของจีเอ็มได้เดินทางมาอาศัยในประเทศไทยเพื่อศึกษาตลาดรถเอนกประสงค์ และรถกระบะที่มีการแข่งขันกันสูงมากในประเทศไทยพร้อมกับการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการใช้รถและรูปแบบการขับขี่ของคนไทยซึ่งข้อมูลที่ได้รับนั้น นำไปสู่การพัฒนาเทรลเบลเซอร์
 สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของ เทรลเบลเซอร์ สร้างสรรค์โดยศูนย์การออกแบบของจีเอ็ม ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซาไกตานูดูซูล ประเทศบราซิล โดยได้รับการถ่ายทอดดีเอ็นเอการออกแบบของเชฟโรเลตในระดับโลก เช่นเดียวกับโคโลราโด
     
       ดีไซน์ภายนอกใช้แนวคิด “ตัวถังอันปราดเปรียวบนฐานล้อกว้าง” (body in-wheels out) ซึ่งเอื้อต่อการขับขึ้นหรือลงเนินลาดชันสูง ฝากระโปรงหน้าเน้นให้ดูบึกบึน มีสันคม ทำให้เทรลเบลเซอร์ เต็มเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งสไตล์รถเอนกประสงค์ กรอบไฟหน้าโปรเจคเตอร์ อยู่ในตำแหน่งด้านล่างแนบชิดฝากระโปรงเพิ่มความดุดันให้แก่ด้านหน้ารถอย่างชัดเจน
     
       กระจังหน้าสองชั้น ดูอัลพอร์ท เอกลักษณ์ของเชฟโรเลต ถูกออกแบบลวดลายกระจังให้เป็นแบบสามมิติ ดึงดูดสายตาในทุกมุมมอง ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยอลูมิเนียม ที่กันชนหน้า เส้นสายด้านข้าง ฝาประตูท้าย และราวหลังคา
     
       ขณะที่ภายในห้องโดยสาร เน้นความกว้างขวาง รองรับทุกการใช้งาน และการตกแต่งที่ประณีตในทุกมุมมอง แผงคอนโซลเน้นความกลมกลืน ด้วยสไตล์ดูอัลค็อกพิทเอกลักษณ์ของเชฟโรเลต เพียบพร้อมทั้งความหรูหรา ผสานกับความสมบุกสมบันในแบบรถเอนกประสงค์ที่รองรับทุกการใช้งาน ห้องโดยสารของเทรลเบลเซอร์ รองรับผู้โดยสารด้วยเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยสามารถพับเบาะทั้งสามแถวได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ และมีพื้นที่บริเวณที่นั่งแถวที่สามมากที่สุดเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน
     
       รายละเอียดภายในห้องโดยสาร ยังประกอบด้วย เบาะที่นั่งแถวที่สองพับแบบ 60/40 สามารถพับให้แบนราบได้ เพียงการดึงห่วงให้เบาะพับตามแรงดึงดูด และสามารถปรับเอนได้ 6 องศา พร้อมที่วางแขนและช่องวางแก้วน้ำ เบาะที่นั่งแถวที่สามพับแบบ 50/50 สามารถพับให้แบนราบได้ พร้อมช่องเก็บของตรงกลาง เบาะแถวหน้าสุดข้างคนขับ พับเอนหลังให้แบนราบได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุด รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ ยูเอสบี และ Auxiliar
  การตกแต่งในห้องโดยสาร เน้นโทนสีที่ตัดกันอย่างลงตัว เบาะหนังสีอ่อน คอนโซลลายไม้สีเข้ม และโครเมียม ใช้วัสดุที่มีลายบนพื้นผิวเพิ่มความรู้สึกหรูหราทุกการสัมผัส ช่องเก็บของมากมายทั่วห้องโดยสาร ซึ่งรวมถึงช่องเก็บของมีค่าบริเวณคอนโซลกลาง และช่องเก็บของขนาดใหญ่สองช่องบริเวณคอนโซลหน้า
     

       ด้านเครื่องยนต์ เทรลเบลเซอร์ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดูราแม็กซ์ ดีเซลเทอร์โบรุ่นใหม่ล่าสุดของจีเอ็ม ขนาด 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ผสมผสานพละกำลัง สมรรถนะ และความประหยัดได้อย่างลงตัว โดยแบ่งออกเป็นสองรุ่นย่อย คือรุ่นกลาง LT และรุ่นสูงสุดLTZ
     
       สำหรับเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ให้พละกำลังและความประหยัดสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ด้วยเทอร์โบแปรผัน พร้อมให้ความนุ่มนวลยิ่งขึ้นด้วยเพลาถ่วงสมดุล ทั้งนี้ ทั้งสองเครื่องยนต์ได้รับการออกแบบให้มีความทนทาน รองรับทุกการใช้งาน และมีค่าดูแลรักษาต่ำกว่า โดยออกแบบพัฒนามาให้มีความทนทานใช้งานได้กว่า 240,000 กิโลเมตร ระบบส่งกำลังมีให้เลือก 2 รูปแบบ คือเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 6 สปีดควบคุมด้วยอิเลกทรอนิคส์
     
       ขุมพลัง 2.8 ลิตรให้พละกำลังสูงสุด 180แรงม้า (132กิโลวัตต์) และแรงบิด 470นิวตันเมตร (346ฟุต-ปอนด์) สำหรับเกียร์อัตโนมัติ 6สปีด และแรงบิด440นิวตันเมตร(324 ฟุต-ปอนด์)สำหรับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขณะที่ขุมพลัง 2.5ลิตร มีพละกำลังสูงสุด 150แรงม้า (110 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 350นิวตันเมตร (258 ฟุต-ปอนด์)
     
       ด้วยโครงสร้างวิศวกรรมแบบตัวถังบนแชสซีส์(body-on-frame) เทรลเบลเซอร์ พร้อมโลดแล่นทุกเส้นทางทั้งบนถนนธรรมดา และเส้นทางออฟโรด ระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบอิสระ 5 ลิงค์ เหนือชั้นกว่ารถในระดับเดียวกัน และยกระดับมาตรฐานรถเอนกประสงค์ไปอีกขั้น ขณะที่คอยล์สปริงที่ติดตั้งอยู่ที่ล้อทั้งสี่เพิ่มความนุ่มนวล และดูดซับแรงกระแทกได้ดีกว่า โดยเฉพาะบนทางออฟโรด และการขับขี่บนถนนทั่วไปที่สะดวกสบายเหมือนกับรถยนต์นั่ง
  เทรลเบลเซอร์ เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัย ป้องกันอุบัติเหตุทุกสถานการณ์ ซึ่งประกอบด้วย
       • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Control)
       • ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก(Anti-lock Braking System)
       • ระบบช่วยเบรกไฮโดรลิก (Hydraulic Brake Assist)
       • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและป้องกันการลื่นไถล (Traction Control)
       • ระบบกระจายสัดส่วนแรงเบรก - ครั้งแรกในรถระดับนี้ (Dynamic Rear Brake Proportioning)
       • ระบบกระจายแรงเบรกอิเลกทรอนิคส์ (Electronic Brake-force Distribution)
       • ระบบช่วยเบรกกระทันหัน (Panic Brake Assist)
       • ระบบควบคุมแรงบิดเครื่องยนต์ป้องกันการลื่นไถล (Engine Drag Control)
       • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เมื่อลงทางลาดชัน (Hill Descent Control)
       • ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน (Hill Start Assist)
       • ถุงลมนิรภัย SRSด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า (Driver and Occupant Air Bag Protection)
เทรลเบลเซอร์ มาพร้อมกับสีสันตัวถัง 7สี คือสีขาว Summit White สีดำ Black Sapphire สีแดง Sizzle Red สีน้ำตาล Auburn Brown สีน้ำเงิน Blue Mountain สีเทา Royal Gray และสีเงิน Switchblade Silver ส่วนราคานั้นจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงาน มอเตอร์โชว์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม-8 เมษายน นี้
      
       “เป้าหมายของเราในการพัฒนาเทรลเบลเซอร์ คือ การสร้างรถเอนกประสงค์ที่มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม เหนือกว่ารถเอนกประสงค์ในตลาด” นาย แบรด เมอร์เคล ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์รถกระบะ และรถเอนกประสงค์ จีเอ็มโกลเบิล กล่าว

Mitsubishi Mirage 2012 อัดออปชันเพียบ

 บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดตัวอีโคคาร์น้องใหม่ “มิราจ” ที่มาพร้อมคอนเซปต์ “BE MORE - ให้คุณได้มากกว่า” ดึง “นิชคุณ” เป็นพรีเซนเตอร์หวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยแบ่งขาย5 รุ่นย่อยราคา 380,000 - 546,000 บาท อัดโปรโมชันฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง แถมคืนเงินอีก 10,000 บาท (ไม่เกี่ยวกับนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล)สำหรับรถ 9,000 คันแรก
สำหรับมิตซูบิชิ มิราจ เป็นรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานรุ่นแรกในสายผลิตภัณฑ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ถูกผลิตขึ้นภายใต้โครงการโกลบอล สมอลล์ ที่จะเข้ามาตอบสนองความต้องการรถยนต์ของตลาดในประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีความต้องการรถยนต์สูงขึ้น รวมไปถึงในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีความสนใจในรถยนต์ขนาดเล็กตามแนวโน้มด้านพลังงานและความตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม อันสอดคล้องกับโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ของรัฐบาลไทย
      
       การออกแบบภายนอกเน้นความลงตัวของเส้นสายเพื่อให้ได้มาซึ่งรถที่ดูเรียบง่ายแต่ปราดเปรียว พร้อมเทคโนโลยีการออกแบบเพื่อลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.29 ซึ่งถือว่าดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน
      
       ลงตัวด้วยชุดไฟหน้า ฝากระโปรงหน้าถูกออกแบบให้เสริมความโดดเด่นของตัวรถ และเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศรอบตัวรถด้วยกระจังหน้าใต้กันชนขนาดใหญ่ที่ช่วยระบายความร้อน ทั้งนี้รุ่น GLS และ GLS Limited ยังติดสปอยเลอร์หลังมาให้อีกด้วย
      
       โดยมิติตัวถังยาว 3,710 มม. กว้าง 1,665 มม.สูง 1,490 มม. และจากนวัตกรรมการออกแบบทำให้มีห้องโดยสารกว้างขวางรับกับทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมการจัดวางพื้นที่ห้องโดยสารให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
 ภายในเน้นโทนสีดำ ทั้งแผงคอนโซลหน้าแบบเรียบตรงพร้อมการเน้นเส้นสายบริเวณส่วนหน้าคอนโซลช่วยเพิ่มความรู้สึกกว้างขวาง ขณะที่รุ่น GLS และ GLS Ltd. ยังมาพร้อมการตกแต่งแบบ “ซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น” ด้วยมือจับประตูด้านใน ขอบมาตรวัด ขอบช่องแอร์ และฐานเกียร์แบบโครเมียม เพิ่มความหรูหราและลงตัวมากยิ่งขึ้น
     
       ส่วนมาตรวัดแบบ Combination meter สามารถปรับแสงสว่างหน้าปัดได้ 8 ระดับ ดูง่ายชัดเจน แจ้งข้อมูลต่างๆ ครบครัน พร้อมจอแสดงผลข้อมูลเอนกประสงค์ (Multi-information display) แสดงผลข้อมูลได้หลากหลาย ทั้งความเร็วเฉลี่ยในการขับขี่ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย ระยะทางขับขี่ที่เหลือจากปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ในถัง และระบบเตือนการบำรุงรักษา รวมไปถึงการเตือนต่างๆ เมื่อมีความผิดปกติของระบบต่างๆ นอกจากนี้ยังมาพร้อมไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด (Eco lamp) เมื่อผู้ขับใช้รอบเครื่องยนต์และความเร็วช่วงที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง (ยกเว้นรุ่น GL)
      
 ในรุ่น GLS และ GLS Ltd มาพร้อมระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS ช่วยให้ล็อกหรือปลดล็อกประตู และฝากระโปรงท้าย รวมไปถึงปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์ เพิ่มความสะดวกสบาย ขณะที่รุ่น GLX จะมีระบบพับเก็บและกางกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อกดล็อกและปลดล็อกรถ
     
       ด้านความบันเทิงรุ่นท็อป GLS Ltd. ใส่วิทยุ ซีดี MP3 ดีวีดี จอภาพแบบระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) ระบบนำทางในรถ (Navigator System) และช่อง USB ในขณะที่รุ่น GLX และ GLS มาพร้อมวิทยุซีดี MP3 พร้อมช่อง AUX-in และช่อง USB
     
       ขณะเดียวกันยังมีฟังก์ชันมาตรฐานเพื่ออำนวยความสะดวกอย่าง ไฟหน้าปิดได้เองโดยอัตโนมัติ ใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ รวมถึงระบบล็อคประตูซ้ำอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย โดยระบบจะสั่งล็อคประตูทุกบานอัตโนมัติหากไม่มีการเปิดประตูภายใน 30 วินาที หลังจากกดปุ่มปลดล็อคประตูรีโมท และระบบสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน หรือเพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเพียงเล็กน้อย สัญญาณไฟเลี้ยวและสัญญาณไฟเตือนในหน้าปัดจะกระพริบ 3 ครั้ง

 เบาะผ้าสีดำลายกราฟิกได้รับการออกแบบให้โอบรับกับสรีระของผู้ขับขี่และความ สะดวกสบายของผู้โดยสาร และสามารถปรับสูง-ต่ำได้ (เฉพาะที่นั่งคนขับ) พร้อมพนักพิงศีรษะแบบปรับสูงต่ำได้ ยิ่งไปกว่านั้นเบาะนั่งหลังยังสามารถพับปรับแบบ 60:40 ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากขึ้น


  “มิราจ ใหม่” วางเครื่องยนต์เบนซินรหัส3A92 ขนาด1.2 ลิตร 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT 6 จังหวะ พร้อม Sportronic และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III
     
       เมื่อบวกกับเทคโนโลยีการลดน้ำหนักและลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ มิตซูบิชิจึงเคลมว่า ”มิราจ” จะให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 22 กิโลเมตร/ลิตร สอดคล้องกับข้อกำหนดของรถอีโคคาร์
     
       สำหรับช่วงล่างหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท หลังทอร์ชั่นบีม ประกบล้อขนาด 14 นิ้ว และยางชนิดพิเศษลดแรงเสียดทานขนาด 165/65R14 โดยในรุ่น GLX มาพร้อมฝาครอบล้อ ส่วน GLS และ GLS Limited เป็นล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ด้านพวงมาลัยผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EPS ให้การขับขี่คล่องตัวพร้อมรัศมีวงเลี้ยวแคบที่สุดในรถระดับเดียวกัน 4.4 เมตร
     
       ความปลอดภัยจัดระบบเบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกด้วยดิสก์เบรกหน้าขนาด 13 นิ้ว แบบมีช่องระบายความร้อน และดรัมเบรกหลังขนาด 7 นิ้ว(ยกเว้นรุ่น GL) เหนืออื่นใดในรุ่น GL และ GLX จะติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านคนขับลูกเดียว ขณะที่ GLS และ GLS Limited จะเพิ่มถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้ามาให้ด้วย

   โดยความโดดเด่นของ “มิราจ ใหม่” จะถูกถ่ายทอดผ่านพรีเซ็นเตอร์“นิชคุณ หรเวชกุล” หนึ่งในสมาชิกวงดนตรีเกาหลี “2PM” ซึ่งมิตซูบิชิมองว่ามีบุคลิกโดดเด่นและความสามารถหลากหลาย ตรงกับจุดเด่นของ “มิราจ ใหม่” โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีของสัญญา นอกเหนือจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับภาพยนตร์โฆษณา และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆแล้ว “นิชคุณ” ยังจะได้ร่วมทำกิจกรรมของมิตซูบิชิในโอกาสต่างๆอีกด้วย
     
       นอกจากนี้ในช่วงเปิดตัวบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด ยังอัดแคมเปญให้ “มิราจ” ด้วยการแถมฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ อินชัวรันซ์” และรับโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท เฉพาะลูกค้า 9,000 คนแรก
ราคามิตซูบิ มิราจ ใหม่

รุ่นรถราคา (บาท)
1.GLD Ltd. เกียร์อัตโนมัติ546,000
2.GLS เกียร์อัตโนมัติ506,000
3.GLX เกียร์อัตโนมัติ460,000
4.GLX เกียร์ธรรมดา426,000
5.GL เกียร์ธรรมดา380,000


Mazda BT-50 PRO

 บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวปิกอัพ “บีที-50 โปร ใหม่” ชูรูปลักษณ์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์ ซูม-ซูม พร้อมเครื่องยนต์ทรงพลัง ตามคอนเซปต์"ขับเคลื่อนทุกสิ่ง...ให้เป็นจริงได้" ทั้งยังดึง“ผู้พันเบิร์ด”เป็นพรีเซ็นเตอร์หวังโหนกระแสฮีโร่แสนอบอุ่น ส่วนราคารุ่นเริ่มต้น ตัวถังฟรีสไตล์แค็บเครื่องยนต์ดีเซล2.2 เกียร์ธรรมดา 6 สปีดแค่ 589,000 บาท ตั้งเป้ายอดขาย22,000 คันต่อปี
 สำหรับมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ พยายามฉีกกฎปิกอัพแบบเดิมๆ ด้วยการผสมผสานแนวคิดการออกแบบที่เน้นความสวยงามควบคู่กับการใช้งานอเนกประสงค์ โดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงห้าเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้ารูปทรงบูมเมอแรง ซุ้มล้อขนาดขนาดใหญ่ที่ออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกันกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ขณะที่กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวเพิ่มความหรูหรา ส่วนไฟท้ายออกแบบรูปทรงตามแนวนอนแยกเป็นสองส่วนตามแบบรถเก๋ง
     
       ภายในห้องโดยสารดีไซน์แบบรถยนต์นั่งสุดหรู หน้าจอแสดงฟังก์ชั่นอเนกประสงค์ MFD เชื่อมต่อโลกการสื่อสารด้วยสัญญาณ Bluetooth กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ มาตรฐานเหนือชั้นด้วยระบบความปลอดภัยระดับเบรกABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบกุญแจนิรภัยอิมโมบิไลเซอร์ สัญญาณกะระยะถอยหลัง และภาพแสดงพื้นที่จับวัตถุ
     
       มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ มีหลากหลายรุ่นทั้ง ฟรีสไตล์แค็ป หรือบานแค็ปเปิดได้ และดับเบิ้ลแค็ป 4 ประตู มาใน 2 เครื่องยนต์ คือ ดีไอ-ธันเดอร์ โปร 3.2 ลิตร 200 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร และ ดีไอ-ธันเดอร์ โปร 2.2 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติ 6 สปีด มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ
 โดยมาสด้าหวังว่า บีที-50 โปร ใหม่ จะมาเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้ปิกอัพ และปิดช่องว่างระหว่างรถเก๋งกับรถปิกอัพ รวมทั้งระหว่างรถปิกอัพกับรถพีพีวีด้วย ซึ่งกลุ่มลูกค้าคือคนที่ใช้รถปิกอัพทั้งในด้านธุรกิจการงานและทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ เป็นกลุ่มคนที่เลือกใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในแบบฉบับของตัวเอง มีความกระฉับกระเฉงในการใช้ชีวิต
     
       นอกจากนี้มาสด้ายังใช้พรีเซ็นเตอร์ใหม่คือ “ผู้พันเบิร์ด” หรือ พันโทวันชนะ สวัสดี นายทหารหนุ่มมาดเข้ม เพื่อสื่อสารภาพลักษ์ของ บีที-50 โปรให้ชัดเจน กับตัวตนที่แท้จริงที่แสดงออกถึง พลัง ความอบอุ่น เป็นฮีโร่ของทุกคน
     
       เหนืออื่นใดมาสด้ายังเล่นกลยุทธ์ด้านราคา โดยพิจารณาให้ บีที-50 โปร ใหม่ ลงสู่ตลาดด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 5 แสนบาทกลางๆ ในขณะที่รุ่นท็อปซึ่งเป็นแบบสี่ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร มาพร้อมเบาะหนังและอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ราคายังไม่แตะ 1 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังแถมฟรีประกันภัยชั้น 1 ทุกรุ่น และมีรถพร้อมส่งมอบทันทีอีกด้วย


 ราคา บีที-50 โปร ใหม่    
       รุ่นฟรีสไตล์แค็ป
    
รุ่นราคา(บาท)
4x2 S 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค589,000
4x2 V 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค639,000
4x2 V 2.2L ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค683,000
4x2 V 2.2L Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค659,000
4x2 V 2.2L Hi-Racer ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค715,000
4x4 R 3.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค814,000

       รุ่นดับเบิ้ลแค็ป
    
รุ่นราคา(บาท)
4x2 S 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค629,000
4x2 V 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค724,000
4x2 V 2.2L ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค764,000
4x2 V 2.2L Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค746,000
4x2 V 2.2L Hi-Racer ABS + เบาะหนัง + Cruise Control เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สีเมทัลลิค874,000
4x4 R 3.2L ABS+DSC เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค943,000
4x4 R 3.2L ABS + DSC + เบาะหนัง + Cruise Control เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สีเมทัลลิค988,000







Toyota Alphard


ล่าสุด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แต่งองค์ทรงเครื่องให้กับ โตโยต้า อัลพาร์ด ใหม่ ด้วยการปรับเปลี่ยนทั้งภายในและภายนอก เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของยนตรกรรมระดับหรูสำหรับผู้นำ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานได้อย่างลงตัว สะดวกสบายตลอดการเดินทาง
 สำหรับภายนอกที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ของโตโยต้า อัลพาร์ด ประกอบด้วย กระจังหน้าโครเมี่ยมใหม่ ,หลังคาแบบมูนรูฟคู่ (Twin Moon Roof) , ประตูข้างซ้าย - ขวา และประตูหลังระบบไฟฟ้าเพื่อความสะดวกสบายในการเปิด-ปิด ได้จากบริเวณคนขับ , สเกิร์ตและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ,ไฟข้างและคิ้วขอบป้ายทะเบียนใหม่ และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่พร้อมยางขนาด 215/60R17
 ขณะที่ภายในเน้นความหรูล้ำ ทันสมัย เพื่อความสะดวกสะบายตลอดการเดินทาง เริ่มจาก กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ ลดการสะท้อนของแสงไฟ เพิ่มความปลอดภัยสำหรับการขับขี่ในเวลากลางคืน ,มาตรวัดเรืองแสงใหม่ เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อสะดวกในการอ่านค่า, ระบบฟอกอากาศแบบนาโนอี (Nanoe) เทคโนโลยีการสร้างโมเลกุลน้ำล้อมรอบประจุลบ ช่วยยับยั้งเชื้อโรค ขจัดกลิ่นและมลพิษในอากาศ ,แผงคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และ หัวเกียร์ดีไซน์ใหม่ ภูมิฐานด้วยลายไม้สีดำ ,แผงประตูด้านหน้า แผงประตูผู้โดยสารด้านหลัง และแผงข้างผู้โดยสารด้านหลัง ตกแต่งด้วยลายไม้สีดำ
      
       เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแถวที่ 1 ปรับไฟฟ้าแบบเฟิร์สท์คลาส พร้อมกับที่รองขา ที่พักเท้า โต๊ะกลางแบบพับได้ และระบบบริหารหลังไฟฟ้า 7 จุด ให้ความสะดวกสบายผ่อนคลายความเมื่อยล้าตลอดการเดินทาง ,เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแถวที่ 2 สำหรับ 3 ที่นั่งพร้อมที่วางแขน สามารถพับเก็บแบบแขวนได้ ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ,ครบครันด้วยความบันเทิงสมบูรณ์แบบ ด้วยเครื่องเล่น DVD / CD / MP3 / WMA / ช่องต่อ USB / iPod / Bluetooth พร้อมจอ LED ระบบสัมผัส 7 นิ้ว จาก Alpine (ในรุ่น 3.5 V) และจอ LCD ระบบสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว (ในรุ่น 2.4V)
 โตโยต้า อัลพาร์ด มีให้เลือก3 สี สีเงิน (Silver Metallic สีขาวมุก (White Pearl Crystal) สีดำ (Black)
      
       ส่วนราคา (รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม) รุ่น 2.4 V (2.4 ลิตร) 3,239,000 บาท รุ่น 3.5 V (V6 3.5 ลิตร)4,059,000 บาท พร้อมการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร







Popular Posts