บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำ “อแวนซา” ใหม่ “Smart in Style....เติมสไตล์ล้ำ เต็มสไตล์คุณ” รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานในเมืองด้วยรูปแบบรถอเนกประสงค์ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Dynamic & Spacious” ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้มีความกว้างขวางมากขึ้น เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ภายนอกได้รับการดีไซน์ให้มีความทันสมัย
ภายในห้องโดยสารดีไซน์สปอร์ต หรูหรา และ กว้างขวางยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i ให้กำลังสูงสุด 101 แรงม้า ตอบสนองการใช้งานคล่องตัว ประหยัดน้ำมัน สามารถใช้น้ำมันแก๊ซโซฮอล์ E20 รวมถึงผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวด ยูโร ระดับ4 ก่อนการบังคับใช้จริงถึง 1 ปี นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงช่วงล่างใหม่เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่นุ่มนวล และการทรงตัวที่ดียิ่งขึ้น
นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าว ว่า กลุ่มลูกค้าหลักของอแวนซา ได้แก่ คนหนุ่มสาว ช่วงอายุประมาณ 25-35 ปี หรือเพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ใช้เหตุผลในการใช้จ่าย ซึ่งเรามั่นใจว่า อแวนซา ใหม่ จะเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง ที่มีความคุ้มค่าและง่ายแก่การเป็นเจ้าของ ทั้งในด้านของราคาและความเปี่ยมอรรถประโยชน์ใช้สอย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยมีเป้าหมายการขายในช่วงแนะนำ 3 เดือนแรกประมาณเดือนละ 500 คัน
อแวนซ่าเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยครั้งแรก เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2547 ในรูปแบบรถยนต์นั่งแนวใหม่ “Compact Multi - Purpose Vehicle” มียอดขายสะสมนับจากการเปิดตัวจนกระทั่งปัจจุบัน 24,133 คัน* (* ยอดจำหน่ายตั้งแต่เปิดตัวปี 2547 - เดือนพฤศจิกายน 2554) อแวนซ่ามีจำหน่าย 3 รุ่นคือ 1.5 S เกียร์อัตโนมัติ ราคา 699,000 บาท 1.5 G เกียร์อัตโนมัติ ราคา 659,000 บาท และ 1.5 E เกียร์ธรรมดา ราคา 569,000 บาท
Tuesday, May 15, 2012
Toyota Avanza ปรับโฉมใหม่
Ferrari FF (Ferrari Four) ม้าลำพองพันธุ์ใหม่
Ferrari FF (Ferrari Four) |
เฟอร์รารี่ FF ย่อมาจากคำว่า Ferrari Four ที่หมายถึงการขับเคลื่อน 4 ล้อ และมี 4 ที่นั่ง โดยค่ายม้าลำพองวางตำแหน่ง FF ให้เป็นรถใช้งานหลากหลายอเนกประสงค์ สามารถขับขี่ได้ทุกวัน และเป็นตัวท๊อปของสายการผลิตเครื่องยนต์ขนาด 12 สูบ
ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง 4 ที่นั่ง พร้อมที่เก็บของขนาดใหญ่ที่สามารถปรับเปลี่ยนจากความจุขนาด 450 ลิตรเป็น 800 ลิตรได้อย่างง่ายดายสามารถ บรรทุกทั้งกระเป๋าเดินทาง ถุงกอล์ฟชุดใหญ่ได้ถึง 2 ถุง รถจักรยาน รวมถึงที่นั่งสำหรับเด็กด้วย
เครื่องยนต์ วี 12 สูบ ขนาด 6,262 ซีซี ให้กำลังสูงสุด660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 683 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด ทำอัตราเร่ง0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
...ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่เฟอร์รารี่ได้ผลิตรถเครื่องวางหน้า แบบสี่ที่นั่งและขับเคลื่อนแบบสี่ล้อพิเศษที่เรียกว่า 4RM ที่มีน้ำหนักเบากว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทั่วไปอยู่ถึง50% ประกอบกับการวางตัวเครื่องยนต์ขนาด V12 ให้อยู่หลังแนวล้อหน้า ส่วนชุดเกียร์จะวางไว้ช่วงหลังของรถรวมกับเฟืองท้ายเพื่อการกระจายน้ำหนัก ที่ดีที่สุด (ถ่ายเทน้ำหลังลงด้านหน้า 47% และด้านหลัง 53%)
โดยระบบนี้จะเชื่อมต่อการทำงานเข้ากับ Dynamic Control System (F1 Trac, EDiff, ESP Premium) เพื่ออ่านสภาพการขับเคลื่อนของอัตราการกระจายแรงบิดไปยังระบบการขับเคลื่อน ทั้ง 4 ล้อ ขณะที่ช่วงล่างหน้าแบบปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ที่ปรับรับเวลาเข้าโค้งได้ดีมากที่สุด
สนนราคาเริ่มต้นประมาณ 32 ล้านบาท
Nissan Urvan เครื่องเบนซิน
เปิดตัวรถนิสสัน เออร์แวน เครื่องยนต์เบนซินใหม่ 2.5 ลิตร โดยถอดรหัสพันธุกรรมจากรุ่นปัจจุบัน 3.0 GX เครื่องยนต์ดีเซล ตั้งเป้ารุกตลาดรถตู้ที่กำลังเติบโต พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องการนำไปติดตั้งระบบพลังงานทางเลือกในภายหลัง
ตลาดรถตู้ในประเทศไทยในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมากกว่า 50% ซึ่งสูงกว่าภาพการเติบโตของตลาดรถโดยรวมทั้งหมด โดยลูกค้าส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ประกอบการเอกชน ไม่ว่าจะเป็นบริการขนส่งหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการ และด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มหันมาสนใจการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น
“ทางนิสสันเล็งเห็นความต้อง การของตลาดในกลุ่มนี้ จึงได้แนะนำรถนิสสัน เออร์แวน ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร ซึ่งเหมาะสมสำหรับเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่ต้องการนำไปติดตั้งระบบพลังงาน ทางเลือกในภายหลัง”
สำหรับ นิสสัน เออร์แวนใหม่ 12 ที่นั่ง มีการออกแบบโดยใช้พื้นฐานเดียวกับรุ่น 3.0 GX เครื่องยนต์ดีเซล ด้วยรูปทรงแบบ Narrow Body กับ มิติภายนอกขนาด ยาว 4,995 ซม. กว้าง 1,690 ซม. และสูง 2,285 ซม. เสริมความหรูหราด้วยกระจังหน้าโครเมียม พร้อมเพิ่มวิสัยทัศน์การขับขี่ด้วยไฟหน้าและไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบมัลติรี เฟล็กเตอร์ ภายในโดดเด่นด้วยแผงแผงคอนโซลหน้าสีเมทัลลิก หน้าปัดดิจิตอล พร้อมไฟเรืองแสง LED
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง TWIN CAM (DOHC) 16 วาล์ว ขนาด 2500 ซีซี ภายใต้รหัส QR25DE ที่ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 243 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน วงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าอิสระแบบปีกนกคู่ ทอร์ชั่นบาร์ พร้อมโช้คอัพซอร์พเบอร์และเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนหลังแบบเพลาแหนบและโช้คอัพซอร์พเบอร์
โดยพร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งมี 2 รุ่นให้เลือก คือ 2.5 GX ราคา 963,000 บาท และ 2.5 GX Comfort (เพิ่มเติม ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต, เบาะหนังดีไซน์ใหม่พิเศษ, กล่องคอนโซลด้านหน้าที่นั่งแถวที่ 2, ผ้าม่าน และพื้นรถปูด้วยฟอร์เมก้าลายพรม) ราคา 991,000 บาท
ตลาดรถตู้ในประเทศไทยในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมากกว่า 50% ซึ่งสูงกว่าภาพการเติบโตของตลาดรถโดยรวมทั้งหมด โดยลูกค้าส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ประกอบการเอกชน ไม่ว่าจะเป็นบริการขนส่งหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการ และด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มหันมาสนใจการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น
“ทางนิสสันเล็งเห็นความต้อง การของตลาดในกลุ่มนี้ จึงได้แนะนำรถนิสสัน เออร์แวน ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร ซึ่งเหมาะสมสำหรับเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่ต้องการนำไปติดตั้งระบบพลังงาน ทางเลือกในภายหลัง”
สำหรับ นิสสัน เออร์แวนใหม่ 12 ที่นั่ง มีการออกแบบโดยใช้พื้นฐานเดียวกับรุ่น 3.0 GX เครื่องยนต์ดีเซล ด้วยรูปทรงแบบ Narrow Body กับ มิติภายนอกขนาด ยาว 4,995 ซม. กว้าง 1,690 ซม. และสูง 2,285 ซม. เสริมความหรูหราด้วยกระจังหน้าโครเมียม พร้อมเพิ่มวิสัยทัศน์การขับขี่ด้วยไฟหน้าและไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบมัลติรี เฟล็กเตอร์ ภายในโดดเด่นด้วยแผงแผงคอนโซลหน้าสีเมทัลลิก หน้าปัดดิจิตอล พร้อมไฟเรืองแสง LED
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง TWIN CAM (DOHC) 16 วาล์ว ขนาด 2500 ซีซี ภายใต้รหัส QR25DE ที่ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 243 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน วงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าอิสระแบบปีกนกคู่ ทอร์ชั่นบาร์ พร้อมโช้คอัพซอร์พเบอร์และเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนหลังแบบเพลาแหนบและโช้คอัพซอร์พเบอร์
โดยพร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งมี 2 รุ่นให้เลือก คือ 2.5 GX ราคา 963,000 บาท และ 2.5 GX Comfort (เพิ่มเติม ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต, เบาะหนังดีไซน์ใหม่พิเศษ, กล่องคอนโซลด้านหน้าที่นั่งแถวที่ 2, ผ้าม่าน และพื้นรถปูด้วยฟอร์เมก้าลายพรม) ราคา 991,000 บาท
Volvo S80 2.5FT Dynamic White สวยสุดหรู
Volvo S80 2.5FT Dynamic White |
นางฉันทนา วัฒนารมย์ ประธาน บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วอลโว่พยายามที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือเพิ่มความพิเศษที่มากกว่า ให้กับรถยนต์คุณภาพของเราเสมอ เราเชื่อว่า S80 2.5 FT Dynamic White จะถูกใจลูกค้า เพราะ S80 เป็นรถยอดนิยมอยู่แล้ว ด้วยดีไซน์หรูสะท้อนถึงคุณภาพเหนือระดับ พร้อมความแรง และคุ้มค่ากับเครื่องยนต์ 2.5FT ที่เติมน้ำมันได้หลากหลาย ตั้งแต่เบนซิน 95 แก๊สโซฮอล์ E10 – E85 รุ่นลิมิเต็ดโทนสีขาวมุกที่กำลังอินเทรนด์ และสวยสง่างามทันสมัย พร้อมเพิ่มความแรงและความโฉบเฉี่ยวเต็มที่กับชุดแต่งพิเศษ ที่เพิ่มรูปลักษณ์ที่เตะตาและพลังแรง ขับสนุกทันใจ”
Volvo S80 2.5FT Dynamic White เพิ่มความโฉบเฉี่ยวทุกอณูด้วยสปอยเลอร์หลัง ชายกันชนล่างด้านหลัง ท่อไอเสียคู่ ล้ออลูมิเนียม 18 นิ้ว และชุดแต่งเต็มพิกัด Polestar Performance Tuning ที่เพิ่มพลังแรงเร้าใจจาก 200 เป็น 258 แรงม้า เมื่อเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 แรงบิดเพิ่มจาก 300 Nm เป็น 360 Nm สามารถทำความเร็วจาก 0 – 100 ก.ม. ได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที
Volvo S80 2.5 FT ตัว Sports Sedan
วอลโว่ชิงบุกตลาดสปอร์ตซีดาน ส่ง S80 2.5 FT สปอร์ต เติมชุดแต่งเต็มพิกัด มูลค่ากว่า 3 แสนบาท สนองความต้องการรถสปอร์ตซีดานหรูที่แรงไม่หยุด เปิดราคาที่ 2.989 ล้านบาท เชื่อดันยอดขายพุ่ง ขยับเป้าหมายรวมทุกรุ่นในปีนี้ 1,500 คัน
ฉันทนา วัฒนารมย์ ประธานบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดสปอร์ตซีดานเป็นตลาดที่ยังมีศักยภาพสูง และด้วยความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะสนองความต้องการของลูกค้าที่เน้นความคุ้ม ค่า ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องการรถที่ตอบสนองทันใจ มีรูปลักษณ์ โดดเด่นทันสมัย บริษัทจึงตอบโจทย์ความต้องการ ด้วยการเสริมความเป็นสปอร์ตแบบเต็มพิกัดให้กับวอลโว่ S80 2.5FT รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท
“วอลโว่ S80 2.5 FT สปอร์ต นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ใส่ใจกับ คุณภาพ สไตล์ ความเท่ ทรงพลัง เกาะถนน ปราดเปรียวพร้อมกับราคาที่โดนใจ การที่เรามีสปอร์ตซีดานที่เพิ่มความสดใหม่ในตลาดที่ยังมีความต้องการรถ ประเภทนี้สูง จะช่วยให้เราเพิ่มจุดต่าง และมีความแข็งแกร่งในเชิงการตลาดได้แน่นอน โดยจะช่วยขยายฐานลูกค้าออกไปได้มากขึ้นเพื่อนำไปสู่เป้าหมายยอดจำหน่ายรวมทุกรุ่น 1,500 คัน ในปีนี้”
สำหรับ วอลโว่ S80 2.5 FT สปอร์ต ยังคงความสวยสง่างามสไตล์สแกนดิเนเวียน และเพิ่มพลังร้อนแรงสไตล์สปอร์ตด้วยชุดแต่งมูลค่ากว่า 300,000 บาท ทั้งสปอยเลอร์ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียแบบแยก 2 ท่อ ล้ออลูมิเนียม 18 นิ้ว เพิ่มพละกำลังด้วย ชุด Polestar Performance Tuning ที่มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 258 แรงม้า เมื่อ เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 และมีแรงบิดเพิ่มเป็น 360 นิวตันเมตร และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 ก.ม. ได้ทันใจใน 7.3 วินาที รวมทั้งปรับช่วงล่างเพิ่มสมรรถนะการทรงตัว เพื่อการเกาะถนนและคล่องตัวในทุกสภาพการขับขี่
ด้านความปลอดภัย ติดตั้งระบบแจ้งเตือนและป้องกันการชนพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถให้โดยอัตโนมัติ (Collision Warning with Auto Brake - CWAB) ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบสามารถตั้งเวลาและระยะห่างจากรถคันหน้าได้ (Adaptive Cruise Control - ACC) มีกล้องดิจิตอลในกระจกมองข้าง พร้อมระบบสัญญาณไฟเตือนเมื่อมียานพาหนะอยู่ในมุมอับของสายตา (Blind Spot Information System - BLIS) และไฟหน้าแบบแอคทีฟ เบนดิ้ง สามารถปรับซ้ายขวาตามพวงมาลัยรถยนต์และปรับระดับสูง/ต่ำโดยอัตโนมัติ
วอลโว่ S80 2.5 FT สปอร์ต เปิดราคาอยู่ที่ 2.989 ล้านบาท พร้อม รับ Volvo Maintenance - บริการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร Volvo Warranty - บริการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ Volvo Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 ปีเต็ม
ฉันทนา วัฒนารมย์ ประธานบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดสปอร์ตซีดานเป็นตลาดที่ยังมีศักยภาพสูง และด้วยความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะสนองความต้องการของลูกค้าที่เน้นความคุ้ม ค่า ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องการรถที่ตอบสนองทันใจ มีรูปลักษณ์ โดดเด่นทันสมัย บริษัทจึงตอบโจทย์ความต้องการ ด้วยการเสริมความเป็นสปอร์ตแบบเต็มพิกัดให้กับวอลโว่ S80 2.5FT รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท
“วอลโว่ S80 2.5 FT สปอร์ต นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ใส่ใจกับ คุณภาพ สไตล์ ความเท่ ทรงพลัง เกาะถนน ปราดเปรียวพร้อมกับราคาที่โดนใจ การที่เรามีสปอร์ตซีดานที่เพิ่มความสดใหม่ในตลาดที่ยังมีความต้องการรถ ประเภทนี้สูง จะช่วยให้เราเพิ่มจุดต่าง และมีความแข็งแกร่งในเชิงการตลาดได้แน่นอน โดยจะช่วยขยายฐานลูกค้าออกไปได้มากขึ้นเพื่อนำไปสู่เป้าหมายยอดจำหน่ายรวมทุกรุ่น 1,500 คัน ในปีนี้”
สำหรับ วอลโว่ S80 2.5 FT สปอร์ต ยังคงความสวยสง่างามสไตล์สแกนดิเนเวียน และเพิ่มพลังร้อนแรงสไตล์สปอร์ตด้วยชุดแต่งมูลค่ากว่า 300,000 บาท ทั้งสปอยเลอร์ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียแบบแยก 2 ท่อ ล้ออลูมิเนียม 18 นิ้ว เพิ่มพละกำลังด้วย ชุด Polestar Performance Tuning ที่มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 258 แรงม้า เมื่อ เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 และมีแรงบิดเพิ่มเป็น 360 นิวตันเมตร และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 ก.ม. ได้ทันใจใน 7.3 วินาที รวมทั้งปรับช่วงล่างเพิ่มสมรรถนะการทรงตัว เพื่อการเกาะถนนและคล่องตัวในทุกสภาพการขับขี่
ด้านความปลอดภัย ติดตั้งระบบแจ้งเตือนและป้องกันการชนพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถให้โดยอัตโนมัติ (Collision Warning with Auto Brake - CWAB) ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบสามารถตั้งเวลาและระยะห่างจากรถคันหน้าได้ (Adaptive Cruise Control - ACC) มีกล้องดิจิตอลในกระจกมองข้าง พร้อมระบบสัญญาณไฟเตือนเมื่อมียานพาหนะอยู่ในมุมอับของสายตา (Blind Spot Information System - BLIS) และไฟหน้าแบบแอคทีฟ เบนดิ้ง สามารถปรับซ้ายขวาตามพวงมาลัยรถยนต์และปรับระดับสูง/ต่ำโดยอัตโนมัติ
วอลโว่ S80 2.5 FT สปอร์ต เปิดราคาอยู่ที่ 2.989 ล้านบาท พร้อม รับ Volvo Maintenance - บริการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร Volvo Warranty - บริการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ Volvo Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 ปีเต็ม
Volvo S80 2.5FT Dynamic White |
Suzuki Ertiga รถ MPV ในอินเดีย
ซูซูกิเปิดแนวรุกในตลาดอินเดียครั้งใหม่ จับเอาซับคอมแพ็กต์ หรือ B-Car รุ่นยอดนิยมอย่างสวิฟต์มาดัดแปลงเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าอีก ประเภท โดยเน้นไปที่กลุ่มครอบครัวที่ชื่นชอบความอเนกประสงค์ในแบบ MPV และใช้ชื่อว่า Ertiga
ในอินเดีย ซูซูกิถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากภายใต้การทำตลาดร่วมกับ พันธมิตรอย่างบริษัท Maruti ซึ่งในปีที่แล้วมียอดขายมากกว่า 700,000 คันหรือครองแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดในอินเดียเกือบๆ 40% เลยทีเดียว
สำหรับผลผลิตใหม่นี้ถูกดัด แปลงบนพื้นฐานเดียวกับสวิฟต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ LUV Life Utility Vehicle ด้วยตัวถังที่มีความยาว 4,265 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าในเกือบทุกมิติเมื่อเปรียบเทียบกับสวิฟต์ (ยาวกว่า 415 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อมากกว่าสวิฟต์ 330 มิลลิเมตร) ส่วนความกว้างเท่ากันที่ 1,685 มิลลิเมตร ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับความกว้างขวางด้วยระยะฐานล้อที่ใกล้เคียง กับรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็กต์ และมีเบาะนั่ง 3 แถวรองรับกับการบรรทุกผู้ขับและผู้โดยสารรวม 7 ที่นั่ง ส่วนเครื่องยนต์ที่ทำตลาดอินเดียมีให้เลือก 2 แบบเป็นเบนซิน 4 สูบ 1,400 ซีซี 94 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ให้ความประหยัดน้ำมันในระดับ 16.1 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับนอกเมือง
ส่วนอีกรุ่นเป็นเทอร์โบดีเซล 4 สูบ 1,300 ซีซี 89 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.4 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที พร้อมตัวเลขความประหยัดน้ำมันในระดับ 20.8 กิโลเมตร/ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะเพียงแบบเดียว
ราคาของ Ertiga อยู่ระหว่าง 600,000-860,000 รูปี หรือ 354,000-509,000 บาท (ยังไม่รวมภาษีนำเข้าในบ้านเรา) โดยราคาจะผันแปรและขึ้นอยู่กับเมืองที่ขาย รวมถึงการเลือกหรือไม่เลือกสีเมทัลลิกก็ไม่รู้ว่าบ้านเราจะมีการส่งเข้ามาเจาะตลาดหรือไม่
Suzuki Ertiga รถ MPV
Volvo S60 DRIVe 1.6L วอลโว่ เอส 60 ใหม่
Volvo S60 DRIVe 1.6L |
เรียกว่าเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ถือเป็นจุดเด่นที่วอลโว่ ใช้สู้กับคู่แข่งจากเยอรมันมาโดยตลอด และถึงแม้รถยนต์วอลโว่ที่ขายในไทยนับจากนี้ไป จะเป็นการนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียทั้งหมด แต่พวกระบบความปลอดภัยต่างๆ รวมถึงคุณภาพการผลิตก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนลงไปจากโรงงานประเทศสวีเดน หรือเมืองเกนท์ ประเทศเบลเยี่ยม
อย่างวอลโว่ เอส60 ใหม่ (All new Volvo S60) ที่ผู้เขียนเคยลองรุ่นนำเข้าทั้งคัน (CBU)จากเมืองเกนท์ไปเมื่อกลางปีที่แล้ว พร้อมนำเสนอบทความที่พาดหัวเอาไว้ว่า “ขับสบาย-ปลอดภัยไร้เสียว”
ด้วยระบบความปลอดภัยเต็มขั้น “ขับสบาย”ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน GTDi (Gasoline Turbocharged Direct Injection) 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 203 แรงม้า ประกบเกียร์ดูอัลคลัทซ์(เพาเวอร์ชิฟท์) 6 สปีด สนนราคาขาย 2.99 ล้านบาท
แน่นอนว่ารถนำเข้าทั้งคันโดนภาษีบาน ตะไท ราคาเลยโดดไปเกือบ 3 ล้านบาท แต่พอเป็นรูปแบบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านตามเขตการค้าเสรีอาเซียน พร้อมวางเครื่องยนต์ขนาดเล็กลงมาเป็น 1.6 ลิตร รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85จึงทำราคาขายได้น่าคบหากว่า โดยเอส60 ใหม่ จะแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ DRIVe (B) 1.899 ล้านบาท และ DRIVe (S) ราคา 2.149 ล้านบาท
สำหรับรุ่น S จะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 215/50R17 ขณะที่รุ่น B เป็นล้ออัลอยด์ 16 นิ้ว ยาง 215/55R16 ส่วนของความบันเทิงในรุ่น S จะติดตั้งหน้าจอขนาด 7นิ้ว พร้อมสะท้อนภาพด้านหลังขณะถอยจอด ทั้งยังเล่นแผ่น DVD ได้ ขณะที่รุ่น B จะเป็นหน้าจอขนาด 5 นิ้ว เล่นได้เพียง CD และไม่มีกล้องส่องหลังช่วยจอด อย่างไรก็ตามทั้งสองรุ่นจะให้ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก USB AUX ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และระบบเสียงแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4x40 วัตต์ ขับด้วยลำโพง 8 ตัว เป็นมาตรฐาน
ด้านระบบความปลอดภัยอย่างระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบเบรกแบบเต็ม แรงเบรก (Pedestrian Detection with Full Auto Brake) และระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert - ACC) จะมาเฉพาะรุ่น S เท่านั้น
โดยระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมเบรกแบบ เต็มแรงเบรก จะประกอบด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์มีหน้าที่ตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้งเป็นมาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนพร้อมกับเห็นไฟกระพริบที่หน้าปัดด้านบน ของกระจกหน้ารถ สัญญาณเตือนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายไฟเบรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มี ปฏิกิริยาทันที ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะชาร์จเตรียมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณเตือน แต่ระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที
ส่วนระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผัน จะแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า ช่วยให้ผู้ขับทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 ก.ม./ช.ม. ขณะเดียวกันช่วงการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 ก.ม./ ช.ม. ฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติจะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคัน หน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียงกดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง ก็สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนิ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 ก.ม./ช.ม. ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและช่วงระยะวลาน้อยที่สุดที่รถจะวิ่งไปถึง คันหน้า ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป
นั่นเป็นสองออปชันความปลอดภัยที่จัดมาให้ต่างกัน แต่ในส่วนของระบบอื่นๆยังคงมีเพียบตามมาตรฐานวอลโว่ อาทิ ระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ (Blind Spot Information system - BLIS) ระบบป้องกันรถคว่ำ (Rollover Protection System – ROPS) รวมถึงโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง พร้อมระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System - SIPS) และถุงลมนิรภัยด้านข้างที่นั่ง ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System - WHIPS)
…จะเห็นว่าแค่ระบบความปลอดภัย หยิบยกมาพูดทั้งวันก็ไม่จบ ดังนั้นเวลาขับวอลโว่ เอส 60จริงๆ แล้วเปิดระบบทุกอย่างครบ ต้องบอกว่าคุณจะได้ตื่นตัว ตื่นเต้นตลอด เพราะมีทั้งแสง สี เสียง เตือนอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญยังคอยนั่งลุ้นระบบต่างๆว่าจะเตือนหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร...ซึ่งใครขับ เอส60 แล้วยังเกิดอุบัติเหตุได้ คงต้องยอมรับในฝีมือ หัวใจ หรือไม่ก็เป็นคนเมาจนขาดสติ
สำหรับความรู้สึกในการขับขี่ แทบไม่ต่างจากรุ่น CBU ที่วางเครื่องยนต์ 2.0 หรือถ้าเทียบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เดิมทำได้ 8.2วินาที แต่พอมาเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 180 แรงม้า ก็ยังทำได้ 9 วินาที โดยจังหวะออกตัวยังมีอาการดึง มีแรงกระชากแบบหลังติดเบาะเล็กๆ แต่ย่านความเร็วกลาง (50-80 กม./ชม.)อาจจะต้องบี้คันเร่งลงไปหนักหน่อยและรอจังหวะให้เทอร์โบบูสสัก 1-2 วินาที จากนั้นพอรอบทะลุ 3,000 -3,500ไปแล้วก็พุ่งกระฉูด
อย่างไรก็ตามเมื่อขับขี่ทางไกล อาจรู้สึกว่าพลังเครื่องยนต์จะมาแบบไม่ค่อยนุ่มเนียนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์3 หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส ที่วางเครื่องยนต์เบนซินในพิกัด 2.0 ลิตร และ 1.8 ลิตรตามลำดับ นี่ไม่ต้องพูดถึงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ส่งแรงได้แบบต่อเนื่องและสมูทกว่า มาก
ด้านพวงมาลัยน้ำหนักเบา ระยะสั่งงานดูจะขาดๆเกินๆ หลายครั้งควบคุมไม่ได้ดั่งใจและไม่สัมพันธ์กับความเร็วรถ ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวพอสมควร ขณะที่ช่วงล่างก็พยายามเซ็ทมาให้สปอร์ตกว่าวอลโว่รุ่นเดิมๆ รวมถึงรุ่นพี่ เอส 80 อยู่นิดๆ ซึ่งในภาพรวมสามารถรองรับได้ทั้งอารมณ์นุ่มนวล และให้ความนิ่งหนึบในการขับความเร็วสูง
ขณะเดียวกันเมื่อรวมกับการเซ็ทน้ำหนักแป้นเบรกและจังหวะการตอบสนอง ของเบรกอย่างลงตัว ตลอดจนสุดยอดของการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกแล้ว วอลโว่ เอส60 ให้ความมั่นใจในการขับขี่เป็นมาก
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย วอลโว่เคลมว่าทำได้ 13.9 กม./ลิตร แต่ถ้าใช้แก๊สโซฮอล์ อี85 จะได้ตัวเลข 10.3 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ...เอส60อาจ ไม่ปราดเปรียวขับสนุกเท่า “ซีรีย์3” หรือ“ซี-คลาส” แต่ก็ถือเป็นรถวอลโว่ที่ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตมากที่สุดในตระกูล ทั้งหน้าตาสวยงาม-ช่วงล่างลงตัว แถมคุ้มค่ากับระบบอำนวยความสะดวก-ความปลอดภัยเพียบ กับค่าตัวไม่ถึงสองล้านบาท...คงต้องยกให้ “เอส60ใหม่”เป็นรถดีมีคุณค่าอีกหนึ่งคัน
กล้องมองหลัง |
Subscribe to:
Posts (Atom)
Popular Posts
-
รายละเอียดรถ HONDA CITY 2010 ตัวถังมีขยายใหญ่ขึ้น มีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตรสูง 1,470 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ i-VTEC ข...
-
กันยายนปีที่แล้ว (2010) เชฟโรเลต เผยภาพออฟฟิเชียลรุ่นปรับโฉมของ Chevrolet Captiva ทั้งหน้า - หลัง แบบที่แฟนๆ เห็นแล้วคงต้องยิ้มอย่างพอใจ ไม...
-
มีด้วยกันทั้งหมด 6 แบบ 6 สไตล์ โดยแต่ละแบบจะได้รับการติดตั้งชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ดีไซน์ให้มีลักษณะเด่น เฉพาะตัว น่ารัก สีสันสดใส บ่งบอกเอกลักษ...
-
หลังโดน “เกรย์มาร์เก็ต” กระหน่ำไม่ไว้หน้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ย่อมอยู่เฉยไม่ได้ ล่าสุดประกาศเปิดรับจองสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นดัง S...
-
เป็นสองค่ายอเมริกันใจถึง ที่กล้านำเก๋งระดับคอมแพกต์เครื่องยนต์ดีเซลมาเปิดตลาดในเมืองไทย (ไม่นับกลุ่มรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดั...
-
Mazda 2 เปิดตัวในไทยไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 53 ที่ผ่านมา สำหรับ รถยนต์ซิตี้คาร์ แฮชแบค 5 ประตู น้องใหม่ล่าสุด จากทางมาส...
-
หลังจากการเปิดตัว “ครูซ” เก๋งคอมแพกต์รุ่นใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เชฟโรเลตเสริมทัพด้วยรถธง “แคปติวา ใหม่” หรือโฉ...
-
Honda jazz โฉมใหม่ ปี 2011 เปลี่ยนโฉมครั้งสุดท้ายก่อนเปลี่ยน body ไปเป็นรุ่นใหม่ รุ่นนี้มาพร้อมกับสีส้มใหม่ ที่เป็นสีเดียวกับ Honda FIT RS ...
-
ภายนอกค่ายสามห่วงได้มีการปรับหน้าตาของกระบะตัวแสบของค่ายใหม่จากเดิม ที่มีลุคดุดันคล้ายตัวนอกจนเป้นที่ชื่นชอบของหลายคนแต่ครั้งนี้ รถกระบะแชม...