Tuesday, June 25, 2013

BENZ - C63 AMG อัพแรง 487 แรงม้า

เบนซ์ เอ็น.เค. ออโต อิมพอร์ต (BENZ N.K.) จัดการส่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ C63 AMG COUPE เวอร์ชันพิเศษ PERFORMANCE PACKAGE PLUS+ เอาใจสาวกตราดาวเท้าขวาหนัก โดยรีดพลังจากเครื่องยนต์ วี8 ได้ถึง 487 แรงม้า หรือระดับน้องๆ ซูเปอร์คาร์เลยทีเดียว

โดยขุมพลัง วี8 ขนาด 6.3 ลิตร ของ C63 AMG COUPE PERFORMANCE PACKAGE PLUS+ ถูกอัพเกรดพลังขึ้นจากรุ่นมาตรฐานอีก30 แรงม้า หรือจาก 457 เป็น 487 แรงม้า ขณะที่แรงบิดมหาศาลถึง 600 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ SPEEDSHIFT MCT 7 สปีด อัตราเร่งเร้าใจจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 4.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดถูกล็อกไว้ 250 กม./ชม. ขณะเดียวกันยังเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามชอบถึง 4 โหมด ได้แก่ Comford, Sport, Sport+ และ Manual

 นอกจากนี้ยังมาพร้อมชุดแต่ง AMG Carbon Fiber รอบคัน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษจากโรงงาน AMG ด้วยชุดโป่งล้อหน้าซ้าย-ขวา ที่ถูกขยายออกให้กว้างขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก รับกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมช่องดักลมด้านข้าง ฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ขึ้น และสันฝากระโปรงดีไซน์โหดเพื่อรองรับเครื่องยนต์ขนาด 6.3 ลิตร สปอยเลอร์ฝาท้ายคาร์บอนเคฟลาน้ำหนักเบา เสริมความดุดันกับ Caliper Brake AMG สีแดง ด้านหน้า 6 Pot พร้อมจานเบรกคาร์บอนเซรามิคขนาดใหญ่ถึง 360มม. Caliper หลัง 4 Pot จานเบรกขนาด 330มม. ตลอดจนช่วงล่าง AMG Sport Plus ชุดท่อไอเสีย AMG Sport Exhaust System และ ล้อแม็ก AMG ขอบ 19 นิ้ว จับคู่กับยาง 235/35/19 ที่ด้านหน้า และ 255/30/19 ที่ด้านหลัง
    

 ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งพิเศษเพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ตด้วยพวงมาลัยหุ้มหนัง Alcantara และเบาะ AMG Racing Seatพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและออปชันแบบเต็มๆ อาทิ ไฟหน้าอัจฉริยะ ILS (Intelligent Light System), จอ Command Online พร้อมเชื่อมต่อฟังก์ชันอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Bluetooth, หลังคาแก้วแบบ Panoramic Glass Roof, เครื่องเสียง Harman Kardon, เสริมความปลอดภัยสูงสุดด้วยออปชัน Lane Tracking Package มาพร้อมฟังก์ชัน Blind Spot Assist และ Lane Keeping Assist
    



โดย BENZ N.K. แจ้งว่าจะขาย C63 AMG Coupe Performance Package Plus+ ในราคากว่า6 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 สี คือ Diamond White และสีดำ Obsidian Black ทั้งยังมีรถพร้อมส่งมอบทันที....ชมรูปภาพพร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.benznk.com หรือที่ Call Center 0-2885-7755









ขำๆ คลายเครียด กับการซื้อรถ

วันก่อนครับ.. ซื้อรถใหม่คันละ 10 ล้าน

A: วันก่อนครับ
B: ทำไมครับ

A: ผมซื้อรถใหม่คันละ 10 ล้านครับ
B: แล้วไงครับ

A: ผมพาเพื่อน ๆ มาดูรถของผมครับ
B: เป็นไงต่อครับ

A: พอทุกคนมาถึงที่จอดรถถึงกับอ้าปากค้างงงง!!
B: รถสวยมากๆๆๆๆๆๆ

A: รถหาย
B: สม!!

2 A: วันก่อนครับ
B: ทำไมครับ?

A: เพื่อนผมมาปรึกษา ตั้งงบไว้ 10 ล้านอัพ จะซื้อรถอะไรดี
B: แล้วคุณแนะนำว่าไงครับ?

A: ผมก็บอกไปว่าไม่ต้องซื้อรถแพงๆ ก็ได้ อีโคคาร์ถูกๆ ดีๆ เยอะแยะ
B: แล้วไงต่อครับ?

A: ผ่านไป 2-3 วัน เพื่อนอัพรูปรถใหม่ให้ดูบนเฟซบุ๊ค ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
B: เพื่อนถอยรถแพงมาเหรอครับ? ช่างเขาเหอะ เงินเขา

A: เปล่าครับ เพื่อนถอยมาร์ชมา 20 คัน
B: ...
A: ปีก่อนครับ
B: ทำไมครับ

3 A: ผมซื้อรถใหม่คันละ 10ล้านครับ ให้สาวเห็นสาวกรี๊ดครับ
B: แล้วไงครับ

A: ตอนนี้ซื้อรถคันล่ะ ล้านขับครับ
B: เป็นไงต่อครับ

A: แล้วซื้อคันละ 5 แสนครับ ให้สาวทุกๆคนเลยครับ
B: เเล้วตอนนี้

A: กรี๊ด กว่าขับรถคันละ 10 ล้านอีกครับ
B: ตกลงขอนู๋ คัน ซิค่ะเพ่ 4 A วันก่อนครับ
B ทำไมครับ
A เลือกไม่ถูกครับ จะเอา honda หรือ toyota ดี
B แล้วไงต่อครับ
A แม่บอกว่าถ้าเอา honda เดี๋ยวจะถอยให้เลย
B แล้วไงต่อครับ
A เลยเอา honda ครับ ตอนรถมาจอดหน้าบ้าน กรี๊ดลั่น!
B Honda รุ่นท็อป แต่งรอบคัน ?
A wave 110 ระบบหัวฉีดครับ
B !@@@@@@@@!
5 A : วันนี้ครับ
B : ถอยรถมาใหม่คันละ 10 ล้านให้สาวกรี้ดครับ
A : แล้วสาวกรี้ดจริงมั้ยครับ
B : กรี้ดลั่นโชรูมเลยครับ
A : อย่างกับนายแบบออกรถละสิครับ
B : เอ่อ ถอยชนคันละ 20 ล้านครับ
6 A : วันก่อนครับ...ผมถอยมาร์ชมา 20 คัน
B : โห ถอยมาทำไมเยอะแยะครับ ครบสีเลยป่ะครับ

A : เปล่าครับ สีขาวหมดทุกคันเลย
B : อ้าวแล้วแบบนี้จะจำได้เหรอครับ ว่าใช้รถคันไหนไปแล้วบ้าง

A : จำได้ครับผมไปจ้างร้านทำสติ๊กเกอร์แปะแล้วครับ
B : อ๋อ ติดลายสวยๆไม่ซ้ำกันเลยสักคัน

A : เปล่าครับ ติดคำว่า รถคันนี้สีแดง, รถคันนี้สีเขียว, รถคันนี้สีฟ้า,รถคันนี้สีบอร์นเงิน, รถคันนี้สีกรมท่า, รถคันนี้สีด่างทับทิม, รถคันนี้สีใบตอง, รถคันนี้สีเขียวใต้ทะเล, รถคันนี้สีเขียวขี้ม้า,...,รถคันนี้สีทนได้
B: -_-''

คำแนะนำในการเติมลมยาง

 


ความดันลมยางสำคัญอย่างไร
ยางรถยนต์เปรียบเสมือนเกราะกันกระแทกระหว่างระยนต์และพื้นถนน  เพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้  ยางทุกเส้นจึงต้องได้รับการเติมลมก่อนใช้งานและควรรักษาระดับความดันลมยาง ให้ไกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด  อย่างไรก็ตามความดันลมยางจะลดลงหลังจากการใช้งาน  ดังนั้นจึงควรเช็คระดับความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางรถคุณ

เติมลมเมื่อยางเย็น                               
ควรเช็คลมยางในขณะที่ยางเย็น  หรือก่อนการใช้งาน  ทั้งนี้เมื่อล้อเริ่มหมุนยางจะเกิดการเปลี่ยนรูป  ทำให้อากาศภายในเกิดการเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดความร้อนขึ้น อากาศภายในยางขยายตัวความดันลมจะเพิ่มสูงขึ้นในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเติม ลมหลังใช้งานแล้ว การเติมลมเพิ่มขึ้นอีก 2ปอนด์เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว

ใส่ฝาวาล์วยางให้สนิท
ควรตรวจเช็ฝาวาล์วยางให้สนิท  เพื่อป้องกันเศษผง  ฝุ่น  หรือความชื้นซึมผ่านเข้าภายในยาง  ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อยางรถยนต์ได้

การสูบลมยาง
1.   ตรวจเช็คลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือในช่วงเวลาก่อนออกเดินทางและปรับแต่ง ให้ถูกต้องตามอัตราที่โรงงาผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเป็นประจำ
2.  ในกรณียางใหม่  ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก)  เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัวทำให้ความดันลมยางลดลง
3.   ห้ามปล่อยลมยางออก  เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นในขณะกำลังใช้งานเพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ ใช้งานเป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น
4.   เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว  ควรเปลี่ยนวาล์วและแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา
5.   สำหรับยางอะไหล่  ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกครั้งอยู่เสมอ
6.   ในกรณีรถเก๋งที่ขับด้วยความเร็วสูง  ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ  3-5  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว



ตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ควรตรวจเช็คความดันลมยางของรถ  ให้อยู่ระดับที่ผู้ผลิตกำหนดเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างสม่ำ เสมอ  โดยปกติโรงงานประกอบรถยนต์จะระบุระดับความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถไว้บนแผ่น โลหะบริเวณขอบประตูหรือกำหนดในคู่มือประจำรถ  การเติมลมยางที่ถูกต้องนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว  ยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้แก่รถคุณด้วย  นอกจากนี้การเติมรถยางที่ไม่เท่ากัน  จะส่งผลให้รถยนต์เสียการทรงตัวเมื่อเบรคหยุดหรือเร่งความเร็ว  หรือรถถูกดึงไปด้านใดด้านหนึ่งขณะขับและทำให้ยางสึกไม่เท่ากันด้วย

การเติมลมยางมากเกินไป
ทำให้หน้าสัมผัสของยางกับพื้นผิวถนนลดลง  ดอกยางบริเวณกลางจะสึกมากกว่าด้านข้างทั้งสอง  และเนื่องจากความยืดหยุ่นของยางลดลงทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหายได้ง่าย  และยังทำให้รถกระดอนเมื่อวิ่งบนถนนขรุขระ

การเติมลมยางน้อยไป
ทำให้ดอกยางไม่เรียบ  โดยดอกยางบริเวณไหล่ยางจะสึกเร็วกว่าบริเวณกลางยาง  เกิดความร้อนสูงขณะยางเปลี่ยนรูปและแรงกระแทกจะทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหาย  และไม่สามารถคืนกลับสภาพเดิม

กรณีสูบลมยางน้อยกว่ากำหนด (TIP) 
     -  อายุยางลดลง
     -  บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ
     -  เกิดความร้อนสูงที่บริเวณไหล่ยาง  ทำให้ผ้าใบหรือเนื้อยางไหม้แยกออกจากัน
     -  โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด  หรือหักได้
     -  สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
     -  เนื้อยางบริเวณหน้ายางจะฉีกขาดได้ง่าย  ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงมากกว่า  100 กม./ชม.

กรณีสูบลมยางมากกว่ากำหนด
      -  เกิดการลื่นไถลได้ง่าย  เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง
    -  โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก  หรือถูกของมีคมตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย ดอกยางจึงสึก  บริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น ๆ
    -  อายุยางลดลง
    -  ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง

เช็คลมยางอย่างไรให้ถูกต้อง
ลมยางจะลดลงโดยตัวมันเองประมาณ  2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน  ดังนั้นจึงควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง  ขณะที่ยางยังเย็นอยู่  โดยเติมลมยางตามคู่มือรถแต่ละคันที่ติดอยู่ที่ข้างประตูรถ

การบรรทุกของหนัก
น้ำหนักบรรทุกมีผลอย่งมากต่ออายุของยาง  จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้มีความสัมพันธ์กับความ ดันลมภายในยาง  และไม่ควรเติมความดันลมยางให้มากกว่าที่กำหนด  เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของยางให้มากขึ้น  เพราะการเพิ่มความดันลมยางมากขึ้นจะมีผลต่อยางดังที่กล่าวมาแล้ว

ในกรณีที่บรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา 
โครงยางบริเวณแก้มยาง  หรือขอบยางหักหรือระเบิดได้ง่ายเนื่องจากรับน้ำหนักที่กดลงมาไม่ไหว
ความร้อนภายในยางจะเกิดขึ้นสูงมาก  ทำให้การยึดเกาะระหว่างเนื้อยางกับโครงยางลดลง  และแยกออกจากกันได้ง่าย
การเคลื่อนไหวของหน้ายางมีมาก  ทำให้ยางสึกหรอเร็วและทำให้อายุยางลดลง

การสลับตำแหน่งยาง
ยางรถยนต์จะเกิดการสึกหรอไม่เท่ากันทุกเส้น  โดยมีสาเหตุจาก
สภาพรถ
สภาพผิวถนน                        
ศูนย์ล้อ
การหักเลี้ยวของรถ
การสูบลมยาง
ตำแหน่งยาง
ลักษณะการขับขี่
ฤดูกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้าจะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานได้นาน  ควรสลับตำแหน่งยางอยู่เสมอ (ยางเรเดียล ควรสลับตำแหน่งยางทุก 10,000 กม.)

Tuesday, June 4, 2013

14 ข้อน่ารู้ เกี่ยวกับการติดแก๊สรถยนต์

ก๊าซธรรมชาติ เป็นพลังงานทางเลือกใหม่สำหรับรถยนต์ ในปัจจุบันมีก๊าซอยู่ 2 ชนิดคือ
 ก๊าซ LPG และ ก๊าซ NGV ซึ่งผู้อ่านสามารถศึกษาหาข้อเปรียบเทียบแล้วเลือกที่จะติดตั้งก๊าซ LPGหรือ ก๊าซ NGV ได้จาก Web Site หรือหนังสือที่เกี่ยวกับก๊าซรถยนต์ ที่มีวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือ ส่วนในเนื้อหาของ Web นี้จะมีจุดประสงค์ของการไขข้อข้องใจ ตอบปัญหา และช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดจากการใช้พลังงานก๊าซ รวมถึงแนะนำวิธีการป้องกันผลเสียเฉพาะที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงมาใช้พลังงานก๊าซ LPG และ NGV

1. ก๊าซ Liquefied Petroleum Gas (LPG) คือ อะไร
ก๊าซ (LPG) หรือก๊าซหุงต้ม มีชื่อเป็นทางการว่าก๊าซปิโตรเลี่ยมเหลว liquefied petroleum gas เรียกย่อ ว่า (LPG) ก๊าซ (LPG) เป็นสารประกอบ ของ โพรเพน และบิวเพน

2. แก๊ส (LPG) มีที่มาอย่างไร
ก๊าซ (LPG) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแยกน้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมัน หรือ การแยกก๊าซธรรมชาติในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ

3. ทำไมถึงมีการนำก๊าซมาใช้ในรถยนต์
มีหลายสาเหตุที่ทำให้มีการนำก๊าซมาใช้ในรถยนต์ คือ
ก. ปริมาณน้ำมันดิบที่เหลือน้อยลง
ข. ปัญหาของโลกที่ร้อนขึ้น สภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากสารคาร์บอนมอนออกไซด์ อันเป็นผลมาจากการเผาไหม้ประกอบกับแนวคิดที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการคิดค้นหาพลังงานทดแทนที่ ?ถูกและดี? กว่าพลังงานน้ำมัน
ค. และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ในปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินมีราคาที่สูงขึ้น

4. ในประเทศไทยมีการน้ำก๊าซ LPG มาใช้เป็นพลังงานในรถยนต์เมื่อใด
ในประเทศไทยเริ่มต้นใช้ก๊าซ LPG มาใช้เป็นพลังงานในรถยนต์ในปี พ.ศ. 2513 หรือ (36ปี) แต่ได้รับความนิยมอยู่ในกลุ่มรถยนต์สาธารณะ ส่วนปัจจุบันความนิยมที่รถยนต์ส่วนบุคคล ได้เปลี่ยนมาใช้พลังงานก๊าซมากขึ้น เห็นจะเป็นเพราะราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

5. ในอดีต มีปัญหาอะไร ที่การติดตั้งก๊าซไม่เป็นที่นิยมในรถยนต์ส่วนบุคคล
เรื่องของกลิ่นเหม็น เรื่องของสุขภาพของคนในรถ รวมถึงกลัวเรื่องอุบัติเหตุ ทำให้ไม่มีการใช้ ก๊าซ (LPG) และ (NGV) กันอย่างแพร่หลายในระยนต์ส่วนบุคคล เรื่องของราคาน้ำมันที่มีราคาที่ ต่างไปจากราคาก๊าซ เพียงเล็งน้อย

6. ปัญหาดังกล่าวเกิดจากอะไร 
ปัญหาต่างๆเกิดจากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและเสื่อมคุณภาพ (อุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นของเก่า) รวมถึงยังขาดความชำนาญในการติดตั้งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการพัฒนาทั้งอุปกรณ์ ความรู้ และประสบการณ์การติดตั้งที่มากขึ้น จนสามารถติดตั้งก๊าซรถยนต์ได้เป็นอย่างดี

7. ก๊าซธรรมชาติ Natural Gas For Vehicle (NGV) คืออะไร
ก๊าซธรรมชาติเป็นก๊าซเชื้อเพลิงที่มีก๊าซมีเทนเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินและดีเซล ก๊าซ NGV คือ ก๊าซธรรมชาติที่ถูกอัดจนมีความดันสูง (มากกว่า 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว psi) คุณสมบัติพิเศษของก๊าซ NGV คือ มีสัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และเป็นก๊าซที่ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดเอื่น มีปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ ต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และ NGV ยังเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนจึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งนับวันจะรุ่นแรง มากขึ้น ก๊าซ (NGV) บางครั้งเรียกก๊าซนี้ว่า (CNG)Compressed Natural Gas หรือก๊าซธรรมชาติอัด

8. ในประเทศไทยมีการน้ำก๊าซ (CNG)มาใช้เป็นพลังงานในรถยนต์เมื่อใด
ในประเทศไทยเริ่มทดลองใช้ก๊าซ CNG มาใช้เป็นพลังงานในรถยนต์ในปี พ.ศ. 2527 โดยใช้ในรถโดยสารของขสมก. และสามล้อเครื่องแต่ยังไม่มีความแพร่หลายเนื่องจากไม่คุ้มค่ากับการดัดแปลงเครื่องยนต์ เนื่องจากในปี 2527 น้ำมันยังมีราคาถูกอยู่

 9. ก๊าซ (LPG) และ (NGV) เป็นพลังงาน ที่ใช้ในรถยนต์ได้อย่างไร
จริงแล้วน้ำมันเบนซินเป็นของเหลว แต่ในการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ น้ำมันจะต้องมีการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นไอเสียก่อนจึงจะผสมกับอากาศเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ?ไอดี? ส่วนการใช้ (LPG) และก๊าซ (NGV) ก๊าซจะถูกดูดเข้าเครื่องยนต์ใสสถานะไอที่ผสมกับอากาศรวมเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ?ไอดี? เช่นกัน ค่าออกเทนของก๊าซ (LPG) มีค่าอยู่ประมาณ 105 RON ก๊าซ (NGV) มีค่าออกเทน 120 RON ก๊าซทั้งสองชนิดมีค่าออกเทนที่ใกลเคียงกับน้ำมันเบนซิน จึงนำมาดัดแปลงใช้กับเครื่องยนต์ที่กำหนดให้ใช้เบนซินออกเทน 91,95 ได้


10. ทำไมเครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้ก๊าซ (LPG) ก๊าซ (NGV) มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์วบ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่ว
การเผาไหม้ของก๊าซ (LPG) จะให้ค่าความร้อนสูงประมาณ กว่า 400 °C การเผาไหม้ของก๊าซ (NGV) จะให้ค่าความร้อนสูงประมาณ กว่า 500 °C : ซึ่งสูงกว่าการใช้พลังงานน้ำมันเบนซินถึงกว่า 2 เท่า ความร้อนจะทำให้โลหะชิ้นส่วนของบ่าวาล์วนิ่มและอ่อนตัว ส่งผลให้เกิดการสึกหรอได้อย่างรวดเร็ว น้ำมันเบนซิน จะมีสารปรุงแต่ง (Additive) จำพวก สารปกป้องบ่าวาล์ว สารหล่อลื่น สารชะล้างต่างๆ เมื่อเกิดการเผาไหม้ ไอของน้ำมันจะเคลือบอยู่ที่ชิ้นส่วนต่างๆ ของบ่าวาล์ว สามารถรับแรงกดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ส่วนพลังงานก๊าซไม่สามารถปรุงแต่งใดๆ ได้ ไอดีของก๊าซมีลักษณะเป็นไอที่แห้ง ไม่มีสารเคลือบบ่าวาล์ว ทำให้การสึกหรอจากการปิด ? เปิดของวาล์ว เกิดขึ้นอย่างรุนแรงชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับค่าความร้อนสูงถึงความร้อนของ ก๊าซ (LPG) และ ก๊าซ (NGV) จึงทำให้เครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้พลังงานก๊าซเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว

11. เราสามารถใช้น้ำมัน 2T (AUTO LUBE) มาใช้ในการเลี้ยงวาล์วเพื่อป้องกันการสึกหรอของบ่าวาล์วได้หรือไม่ 
ก่อนอื่นต้องขอชมเชยท่านที่คิดค้นและพยายามนำเอาน้ำมัน 2 T ที่ใช้ในการหล่อลื่นในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ โดยท่านได้ทรายถึงปัญหาของบ่าวาล์วและได้มีการแก้ไขโดยใช้วิธีเดียวกับมอเตอร์ไซ และถ้าจะถามว่าใช้ได้ผลหรือไม่ ให้พินิจพิจารณาดูจาก

ก. เครื่องยนต์ที่ใช้ น้ำมัน 2 T เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะมีรอบกาจจุดระเบิดทุกรอบ แต่เครื่องยนต์ในรถยนต์ เป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ เครื่องยนต์หมุน 2 รอบแต่มีการจุดระเบิด ให้กำลังงาน 1 รอบ

ข. เครื่องยนต์ 2 จังหวะและ 4 จังหวะ มีการออกแบบวาล์วไอดีและไอเสียที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน รวมไปถึงลักษณะของแหวนลูกสูบ กล่าวคือ วาล์วของเครื่องยนต์ 2 จังหวะมักจะมีการออกแบบเป็นลักษณะของช่องพอร์ด โดยใช้ลูกสูบเป็นตัวเปิด-ปิดวาล์วไอดีและไอเสีย ส่วนเครื่องยนต์ 4 จังหวะจะมีวาล์วไอดีไอเสียเป็นลักษณะของดอกเห็ด อยู่ส่วนบนของกระบอกสูบ เปิดปิดโดยใช้เพลาลูกเบี้ยวเป็นตัวเปิด-ปิด.

ค. การออกแบบน้ำมัน 2T ก็ได้มีการออกแบบให้มีลักษณะและองค์ประกอบของน้ำมันในเรื่องของการเผาไหม้และการหล่อลื่น ลูกสูบกับกระบอกสูบ และให้ใช้กับเครื่องยนต์ 2 จังหวะที่มีรอบการทำงานที่จัดกว่า เครื่องยนต์ 4 จังหวะ

ง. อย่างไรก็ดีเครื่องยนต์ 2 จังหวะเมื่อมีการใช้ไปสักระยะหนึ่งก็มักจะต้องพบกับปัญหาเรื่องการสะสมเขม่าการอุดตัน หัวเทียนบอด และอื่นๆตามมา

จ. ปัจจุบันมีการพบรถยนต์ที่ดัดแปลงมาใช้ก๊าซพร้อมกับมีการใช้น้ำมัน 2 Tมาเลี้ยงวาล์ว แล้วเกิดความเสียหายตั้งแต่อาการบ่าวาล์วรั่ว หัวลูกสูบทะลุหนักไปจนถึงจะต้องมีการผ่าเครื่องมาซ่อมบำรุงกันยกใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้ที่ใช้ 2T เลี้ยงวาล์วแล้วก็ยังบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ

ฉ. ในต่างประเทศที่มีการใช้ก๊าซเป็นพลังงานแทนน้ำมันเบนซิน จะไม่มีการใช้ น้ำมัน 2 T มาเลี้ยงวาล์ว เพราะทราบถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อเครื่องยนต์แล้วไอพิษที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ยังก่อไห้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมปัจจุบันในรถมอเตอร์ไซดิ์ได้มีการยกเลิกการใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะเพราะตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมนั้นเอง

12. การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินและใช้น้ำมันสักพัก จะสามารถช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่
การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายการสึกหรอ จะน้อยกว่าการสตาร์ทด้วยก๊าซ ส่วนการใช้น้ำมันเบนซินเลี้ยงวาล์วนั้น ยังไม่เคยมีการทำการทดสอบอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแต่ข้อ สันนิฐาน แต่การใช้น้ำมันเบนซินให้บ่อย และนานขึ้นในช่วงก่อนออกรถและก่อนที่จะทำการดับเครื่องยนต์ ก็จะมีส่วนช่วย ให้ไอน้ำมันเบนซินเข้ามาช่วยชะล้างเขม่าหรือขี้เถ้าที่เกิดจากการสันดาปด้วยก๊าซได้ อย่างไรก็ดีทันที่มีได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทนน้ำมันเบนซิน ก็มีแนวคิดในเรื่องของ ความร้อนที่เกิดจากการสันดาปด้วย ก๊าซที่ให้ความร้อนที่สูงกว่าน้ำมัน ดังนั้นไอน้ำมันเบนซินที่เคลือบไว้ตามส่วนต่างๆของวาล์วก็จะถูกความร้อนของก๊าซเผาไหม้ไปไนเวลาต่อมานั้นเอง จึงพิจารณาได้ว่าการเลี้ยงวาล์วด้วยน้ำมันเบนซินไม่น่าจะได้ผลดีเท่าที่ควร(ในจังหวะอัด ก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนตัวขึ้นสู่จุดศูนย์ตายบนเพียงเล็กน้อย หัวเทียนจะจุดประกายเผาไหม้ส่วนผสมไอดีให้ลุกไหม้ ทำให้เกิดพลังงานแรงดันสูงประมาณ 30 ถึง 60 บาร์ และให้ ความร้อนสูงสุด 2000 ถึง 2500 องศาเซลเซียส และจะลดลงประมาณ 900 ถึง 800 องศาเซลเซียสเมื่อลูกสูบเคลื่อนตัวลงสู่จุดศูนย์ตายล่าง)

13. ไอของน้ำมันเครื่องมีส่วนช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่ 
ก่อนอื่นต้องขอถามว่า ไอน้ำมันเครื่องคืออะไร ไอน้ำมันเครื่องที่เราเห็นคือ ไอเสียที่ตกค้างจากการ เผาไหม้ เชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้ เป็นแก๊สไอเสีย จะถูกระบายออกจากเครื่องยนต์ผ่านลิ้นไอเสีย จะมีประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ตกค้างจากการเผาไหม้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์จะเป็น คาร์บอน ซัลเฟอร์ และน้ำ ตกค้างอยู่ในกระบอกสูบ และเมื่อรวมตัวกันจะเกิดเป็นกรดกำมะถัน ทำปฏิกิริยากับน้ำมันเครื่อง จะเกิดแก๊สพิษและโคลนตรงกัดกร่อนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ เครื่องยนต์ และเป็นเหตุให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพโดยเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีการต่อท่อ ระบายแก๊สให้ออกไปจากเครื่องยนต์โดยนำไอเสียนี้กลับเข้ามาเผาไหม้ใหม่อีกครั้ง เพื่อลดมลภาวะอากาศเป็นพิษ (เป็นกฎข้อบังคับในการกำจัดไอเสียที่เป็นพิษ) และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง

ดังนั้นจึงตอบได้ว่า วิศวกรได้ออกแบบระบบไอน้ำมันเครื่องโดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อนำไอน้ำมันเครื่องมาเลี้ยงวาล์วโดยตรง แต่ดูจากระบบแล้ว ไอของน้ำมันเครื่องก็หน้า จะมีส่วนช่วยในการป้องกันการสึกหรอของวาล์วได้ไม่มากนัก

14. จะมีวิธีป้องกันปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่วหรือไม่
เครื่องจักรทุกชนิดที่มีการเคลื่อนที่เกิดการเสียดสี เกิดการกระแทก ก็ย่อมเกิดการสึกหรอเป็นธรรมดา แต่สำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซจะมีการสึกหรอมากขึ้นกว่าปกติ ก็เนื่องมาจากความร้อนที่เกิดขึ้นมากกว่านั้นเอง ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาให้หมดไปนั้นจึงไม่สามารถทำได้ แต่หากจะทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงไปได้บ้าง ก็พอจะมีวิธีแนะนำอยู่บ้างเช่น
 - อัตราการสึกหรอของบ่าวาล์วจะลดลงได้ถ้าหากใช้ความเร็วต่ำ
- ไม่ขับขี่รถยนต์ในเวลาที่มีอากาศร้อนจัดเป็นระยะทางไกล โดยไม่มีการพัก มีการใช้รถอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ควรเกิน 1 ? 2 ชั่วโมง
- ควรสลับมาใช้น้ำมันเบนซินในสัดส่วน 1 ต่อ 10 ของการใช้งานจริง
- ดูแลเรื่องระบบระบายความร้อน ระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ และพัดลมให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่อุดตัน และควรใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกน้ำยาหม้อน้ำควบคู่ไปด้วย
- ควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืด (SAE) ที่สูงขึ้น
- ในส่วนของน้ำมันที่ใช้สำหรับเลี้ยงวาล์ว ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีคุณสมบัติในการใช้งานโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ผลิตได้มีการศึกษาถึงคุณสมบัติที่ใช้งานโดยเฉพาะ ก็จะแก้ปัญหาของการสึกหรอของบ่าวาล์วได้โดยตรงแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ และสิ่งแวดล้อม ไม่ควรใช้น้ำมันอื่นๆมาทดแทนโดยปราศจากความเข้าใจในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลดีแล้วยังจะส่งผลเสียให้กับเครื่องยนต์ตามมาอีกด้วย

Popular Posts