Tuesday, June 25, 2013
คำแนะนำในการเติมลมยาง
ความดันลมยางสำคัญอย่างไร
ยางรถยนต์เปรียบเสมือนเกราะกันกระแทกระหว่างระยนต์และพื้นถนน เพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้ ยางทุกเส้นจึงต้องได้รับการเติมลมก่อนใช้งานและควรรักษาระดับความดันลมยาง ให้ไกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด อย่างไรก็ตามความดันลมยางจะลดลงหลังจากการใช้งาน ดังนั้นจึงควรเช็คระดับความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางรถคุณ
เติมลมเมื่อยางเย็น
ควรเช็คลมยางในขณะที่ยางเย็น หรือก่อนการใช้งาน ทั้งนี้เมื่อล้อเริ่มหมุนยางจะเกิดการเปลี่ยนรูป ทำให้อากาศภายในเกิดการเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดความร้อนขึ้น อากาศภายในยางขยายตัวความดันลมจะเพิ่มสูงขึ้นในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเติม ลมหลังใช้งานแล้ว การเติมลมเพิ่มขึ้นอีก 2ปอนด์เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว
ใส่ฝาวาล์วยางให้สนิท
ควรตรวจเช็ฝาวาล์วยางให้สนิท เพื่อป้องกันเศษผง ฝุ่น หรือความชื้นซึมผ่านเข้าภายในยาง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อยางรถยนต์ได้
การสูบลมยาง
1. ตรวจเช็คลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือในช่วงเวลาก่อนออกเดินทางและปรับแต่ง ให้ถูกต้องตามอัตราที่โรงงาผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเป็นประจำ
2. ในกรณียางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัวทำให้ความดันลมยางลดลง
3. ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นในขณะกำลังใช้งานเพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ ใช้งานเป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น
4. เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์วและแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา
5. สำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกครั้งอยู่เสมอ
6. ในกรณีรถเก๋งที่ขับด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ควรตรวจเช็คความดันลมยางของรถ ให้อยู่ระดับที่ผู้ผลิตกำหนดเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างสม่ำ เสมอ โดยปกติโรงงานประกอบรถยนต์จะระบุระดับความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถไว้บนแผ่น โลหะบริเวณขอบประตูหรือกำหนดในคู่มือประจำรถ การเติมลมยางที่ถูกต้องนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้แก่รถคุณด้วย นอกจากนี้การเติมรถยางที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้รถยนต์เสียการทรงตัวเมื่อเบรคหยุดหรือเร่งความเร็ว หรือรถถูกดึงไปด้านใดด้านหนึ่งขณะขับและทำให้ยางสึกไม่เท่ากันด้วย
การเติมลมยางมากเกินไป
ทำให้หน้าสัมผัสของยางกับพื้นผิวถนนลดลง ดอกยางบริเวณกลางจะสึกมากกว่าด้านข้างทั้งสอง และเนื่องจากความยืดหยุ่นของยางลดลงทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหายได้ง่าย และยังทำให้รถกระดอนเมื่อวิ่งบนถนนขรุขระ
การเติมลมยางน้อยไป
ทำให้ดอกยางไม่เรียบ โดยดอกยางบริเวณไหล่ยางจะสึกเร็วกว่าบริเวณกลางยาง เกิดความร้อนสูงขณะยางเปลี่ยนรูปและแรงกระแทกจะทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหาย และไม่สามารถคืนกลับสภาพเดิม
กรณีสูบลมยางน้อยกว่ากำหนด (TIP)
- อายุยางลดลง
- บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ
- เกิดความร้อนสูงที่บริเวณไหล่ยาง ทำให้ผ้าใบหรือเนื้อยางไหม้แยกออกจากัน
- โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
- เนื้อยางบริเวณหน้ายางจะฉีกขาดได้ง่าย ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงมากกว่า 100 กม./ชม.
กรณีสูบลมยางมากกว่ากำหนด
- เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง
- โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกของมีคมตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย ดอกยางจึงสึก บริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น ๆ
- อายุยางลดลง
- ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
เช็คลมยางอย่างไรให้ถูกต้อง
ลมยางจะลดลงโดยตัวมันเองประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน ดังนั้นจึงควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง ขณะที่ยางยังเย็นอยู่ โดยเติมลมยางตามคู่มือรถแต่ละคันที่ติดอยู่ที่ข้างประตูรถ
การบรรทุกของหนัก
น้ำหนักบรรทุกมีผลอย่งมากต่ออายุของยาง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้มีความสัมพันธ์กับความ ดันลมภายในยาง และไม่ควรเติมความดันลมยางให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของยางให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มความดันลมยางมากขึ้นจะมีผลต่อยางดังที่กล่าวมาแล้ว
ในกรณีที่บรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา
โครงยางบริเวณแก้มยาง หรือขอบยางหักหรือระเบิดได้ง่ายเนื่องจากรับน้ำหนักที่กดลงมาไม่ไหว
ความร้อนภายในยางจะเกิดขึ้นสูงมาก ทำให้การยึดเกาะระหว่างเนื้อยางกับโครงยางลดลง และแยกออกจากกันได้ง่าย
การเคลื่อนไหวของหน้ายางมีมาก ทำให้ยางสึกหรอเร็วและทำให้อายุยางลดลง
การสลับตำแหน่งยาง
ยางรถยนต์จะเกิดการสึกหรอไม่เท่ากันทุกเส้น โดยมีสาเหตุจาก
สภาพรถ
สภาพผิวถนน
ศูนย์ล้อ
การหักเลี้ยวของรถ
การสูบลมยาง
ตำแหน่งยาง
ลักษณะการขับขี่
ฤดูกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้าจะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานได้นาน ควรสลับตำแหน่งยางอยู่เสมอ (ยางเรเดียล ควรสลับตำแหน่งยางทุก 10,000 กม.)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
Popular Posts
-
รายละเอียดรถ HONDA CITY 2010 ตัวถังมีขยายใหญ่ขึ้น มีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตรสูง 1,470 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ i-VTEC ข...
-
กันยายนปีที่แล้ว (2010) เชฟโรเลต เผยภาพออฟฟิเชียลรุ่นปรับโฉมของ Chevrolet Captiva ทั้งหน้า - หลัง แบบที่แฟนๆ เห็นแล้วคงต้องยิ้มอย่างพอใจ ไม...
-
มีด้วยกันทั้งหมด 6 แบบ 6 สไตล์ โดยแต่ละแบบจะได้รับการติดตั้งชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ดีไซน์ให้มีลักษณะเด่น เฉพาะตัว น่ารัก สีสันสดใส บ่งบอกเอกลักษ...
-
หลังโดน “เกรย์มาร์เก็ต” กระหน่ำไม่ไว้หน้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ย่อมอยู่เฉยไม่ได้ ล่าสุดประกาศเปิดรับจองสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นดัง S...
-
เป็นสองค่ายอเมริกันใจถึง ที่กล้านำเก๋งระดับคอมแพกต์เครื่องยนต์ดีเซลมาเปิดตลาดในเมืองไทย (ไม่นับกลุ่มรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดั...
-
Mazda 2 เปิดตัวในไทยไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 53 ที่ผ่านมา สำหรับ รถยนต์ซิตี้คาร์ แฮชแบค 5 ประตู น้องใหม่ล่าสุด จากทางมาส...
-
หลังจากการเปิดตัว “ครูซ” เก๋งคอมแพกต์รุ่นใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เชฟโรเลตเสริมทัพด้วยรถธง “แคปติวา ใหม่” หรือโฉ...
-
Honda jazz โฉมใหม่ ปี 2011 เปลี่ยนโฉมครั้งสุดท้ายก่อนเปลี่ยน body ไปเป็นรุ่นใหม่ รุ่นนี้มาพร้อมกับสีส้มใหม่ ที่เป็นสีเดียวกับ Honda FIT RS ...
-
ภายนอกค่ายสามห่วงได้มีการปรับหน้าตาของกระบะตัวแสบของค่ายใหม่จากเดิม ที่มีลุคดุดันคล้ายตัวนอกจนเป้นที่ชื่นชอบของหลายคนแต่ครั้งนี้ รถกระบะแชม...
No comments:
Post a Comment