Monday, April 28, 2014
Toyota PRIUS TRD Sportivo
พริอุส รุ่นพิเศษ PRIUS TRD Sportivo ใหม่ ที่มาพร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคันทั้งภายนอกและภายใน
สำหรับโตโยต้า พริอุส ยนตรกรรมไฮบริดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 2,700,000 คันทั่วโลก (ยอดขายสะสมตั้งแต่ พ.ศ.2540 ถึง สิงหาคม 2555) ด้วยรูปลักษณ์ล้ำสมัยทั้งภายในและภายนอก เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีที่ป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไร้ซึ่งมลภาวะทาง เสียง
โดยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร Atkinson Cycle 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้กำลัง 99 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า E-CVT เมื่อผสานกำลังกันจึงรีดแรงม้าได้สูงสุด 136 ตัว
ในส่วนของพริอุส รุ่นพิเศษ PRIUS TRD Sportivo ใหม่ มาพร้อมชุดแต่งTRD Sportivo รอบคัน ไล่ตั้งแต่สเกิร์ตกันชนหน้า สเกิร์ตกันชนหลัง ล้ออัลลอยลายใหม่ แบบ Smoke Chrome คม เข้ม เร้าใจ ขนาด 16นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55/R16 ทั้งยังเสริมความโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ “TRD Sportivo”… ในด้านข้าง และ ด้านหลัง
ภายในใช้เบาะหนังสีดำใหม่ พรมปูพื้นลายพิเศษพร้อมสัญลักษณ์ TRD Sportivo รวมถึงชุดเครื่องเสียงใหม่ รองรับDVD/CD/MP3/WMA หน้าจอสัมผัส พร้อมช่องเสียบอุปกรณ์ USB สามารถเชื่อมต่อ Smart Phone และรองรับบริการพิเศษจาก Toyota Smart G-BOOK
พริอุส รุ่นพิเศษ PRIUS TRD Sportivo มี 3 สีให้เลือกWhite Pearl Crystal ,Attitude Black Mica, Red Mica Metallic สนนราคา 1,269,000 บาท (สำหรับสี White Pearl Crystal เพิ่ม 10,000บาท)
Honda Freed New ฮอนด้า ฟรีด โฉมใหม่
ฮอนด้า ฟรีด เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 และมีการเติบโตจนกลายเป็นรถยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งในตลาดญี่ปุ่นภายในหนึ่งปี ฟรีด สามารถทำยอดการจำหน่ายได้สูงถึง 77,000 คัน และยังรับรางวัล “รถยนต์อันทรงคุณค่า” ประจำปี 2551-2552 ประเทศญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทย ฮอนด้ามีการนำเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 เป็นต้นมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขาย 11,400 คัน (ม.ค.2553 - ก.ค.2555)
ล่าสุด วันนี้ (4 ก.ย.) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัว ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ โดยมีการปรับโฉม เพิ่มความโฉบเฉี่ยว แนวสปอร์ต พร้อมเติมความสะดวกสบายภายในรถเพียบ สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ โคมไฟหน้าสีเงินแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ กระจังหน้าแบบโครเมียมดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยไฟท้ายและคิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียมพร้อม สปอยเล่อร์หลัง ล้ออัลลอยดีไซน์ ใหม่
ณะที่ภายในห้องโดยสาร เป็นเบาะหนัง แถมด้านคนขับสามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ นอกจากนี้ ยังมีพนักเท้าแขนทั้งผู้โดยสารแถวหน้าและแถว 2 พร้อมให้ความบันเทิงเต็มรูปแบบ ด้วยระบบเครื่องเสียงแบบวิทยุ MP3 พร้อมจอ LCD ระบบสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง และอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับด้วยสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยและการ เชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth (เฉพาะรุ่น EL) กล้องส่องภาพด้านหลัง ช่วยให้ถอดจอดได้อย่างมั่นใจ สำหรับผู้โดยสารตอนหลังยังเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นดีวีดี พร้อมจอ LCD ขนาด 10 นิ้ว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเฉพาะรุ่น EL
ฟรีดใหม่มี 2 รุ่น คือ รุ่น SE ราคา 839,000 บาท และรุ่น EL ราคา 949,000 บาท มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวบริลเลียนท์ (มุก-ต้องเพิ่มเงิน 10,000 บาท), สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีใหม่ คือ สีน้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก) ตั้งเป้าขายที่ 12,000 คันภายในหนึ่งปี
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัวฮอนด้า ฟรีด ใหม่ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในทุก ไลฟ์สไตล์ ประกอบกับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผู้บริโภคเริ่มมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์เรื่องการใช้งานเป็นหลัก รถยนต์ต้องมีฟังก์ชั่นการใช้สอยแบบสารพัดประโยชน์ รถยนต์อเนกประสงค์ หรือ Multipurpose Utility Vehicle (MUV) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาด และเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในตลาดต่างๆ รวมไปถึงในญี่ปุ่นและยุโรป
“ประเทศไทยเราก็มีการศึกษารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองในปัจจุบัน แล้วพบว่า ลูกค้ามีความสนใจรถยนต์อเนกประสงค์ บวกกับคนในวัยทำงานมีกิจกรรมประจำวันมากขึ้น ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน รวมไปถึงกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือแม้แต่การใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัว ดังนั้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ฮอนด้าจึงนำฮอนด้า ฟรีด เข้ามาทำตลาด ด้วยเราเชื่อมั่นว่า รถยนต์อเนกประสงค์มีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นในเมืองไทย”
สำหรับด้านการสื่อสารการตลาดจะมุ่งไปที่ประสบการณ์การใช้ ชีวิตอย่างมีความสุขใน ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Journey of Love โดยฮอนด้าจัดทำภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งเป็นเรื่องราวน่ารักๆ ของการพบรักของเจ้าของร้านดอกไม้กับร้านดนตรี โดยมีฮอนด้า ฟรีด เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของความรัก สำหรับเพลงประกอบหนังโฆษณาชุดนี้ ได้เลือกใช้เพลง “คนข้างๆ” ของศิลปินแนวอินดี้วง 25 Hours ซึ่งมีเนื้อร้องที่เข้ากันกับเนื้อเรื่องอย่างลงตัว โดยจะออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 5 กันยายน และนอกจากนี้ ยังมีซีรีส์ The Journey of Love อีก 3 ตอน ซึ่งสามารถติดตามรับชม ซีรีส์ของฮอนด้า ฟรีด ใหม่ได้ที่ www.honda.co.th/Freed
ฮอนด้า ฟรีด เป็นยนตรกรรมขนาด 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมพลังขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ SOHC i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว สนุกทุกการขับขี่ พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control ช่วยรักษาความเร็วขณะเข้าโค้ง ระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนและเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.2 เมตร
Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี
ได้ฤกษ์เปิดตัวเก๋งคอมแพกต์ซีดานรุ่นใหม่ “นิสสัน ซิลฟี” ซึ่งถือเป็นการอุดช่องว่างของโปรดักต์ที่นิสสันหายจากการทำตลาดไปนานหลายปี โดยรุ่นนี้ชูความโดดเด่นของรูปลักษณ์ พื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร และออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัยเพียบ พร้อมขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตรใหม่ ประกบเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งแบ่งการขายเป็น 6 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นที่ 746,000- 931,000บาท
หลังจากนิสสันไม่มีเก๋งคอมแพกต์ตัวถังซีดานแท้ๆ หรือระดับเดียวกับพวก “อัลติส” “ซีวิค” ทำตลาดมาสักระยะ แต่ล่าสุดนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย พร้อมแล้วกับการเสริมโปรดักต์ให้ครบไลน์ด้วย “ซิลฟี ใหม่” ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่สองที่เปิดตัวพร้อมขายเก๋งรุ่นนี้ต่อจากประเทศจีน
โดย“นิสสัน ซิลฟี”ถือว่ามีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งระดับเดียวกัน ทั้งยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ จึงมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำ 0.29 โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบ Multi-reflector พร้อมหลอดไฟ LED ที่ติดตั้งทั้งในตำแหน่งไฟหรี่ด้านหน้า ชุดไฟท้าย ไฟเบรคดวงที่สาม และไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง
ส่วนกันชนขนาดใหญ่และกระจังหน้าพร้อมช่องระบายอากาศแบบรัง ผึ้งที่ออกแบบมาให้ดูมีมิติมากขึ้น เสริมด้วยชุดโครเมียมบริเวณกระจังหน้า ที่เปิดประตูและด้านกระโปรงท้าย พร้อมประกบล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางพร้อมการตกแต่งอย่างหรูหรา ขณะที่แผงคอนโซลกลางประดับด้วยชุดลายไม้ (ในรุ่น1.8V Navi 1.8V และ 1.6 V) และเมทัลลิก(ในรุ่น 1.6E และ 1.6S ลิตร) ส่วนพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นแบบ 3 ก้าน ปรับได้ 4 ทิศทางหุ้มหนัง (ในรุ่น1.8V Navi 1.8V และ 1.6 V) เย็นช่ำด้วยระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อมแยกปรับอุณหภูมิอิสระได้ซ้าย -ขวา ทั้งยังเพิ่มช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอีกด้วย (เฉพาะรุ่น 1.8V Navi 1.8 V และ 1.6 V)
ด้านแผงหน้าปัดเรืองแสง (Fine Vision Meter) ขนาดใหญ่พร้อมจอแสดงข้อมูล Multi Information Display จัดให้ในทุกรุ่น เพื่อแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งในแบบใช้จริง และเฉลี่ย/ชั่วโมง มาตรวัดระยะทางย่อยและระยะทางรวม ส่วนชุดเครื่องเสียงแบบ Built-in ลำโพง 6 ตัว พร้อมหน้าจอสีขนาด 4.3นิ้วในรุ่น1.8 V เล่นซีดี 1 แผ่นและเครื่องเล่น MP3 และช่องต่อ AUX และอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB บริเวณช่องเก็บของ ส่วนรุ่น 1.8V Navi ติดตั้งระบบนำทาง Navigation system บนหน้าจอ 5.8นิ้ว พร้อมกล้องมองหลังที่ช่วยให้มองได้ไกลถึงสามเมตร (มีในรุ่น 1.8V )
นอกจากนี้นิสสัน ซิลฟี ยังใส่ออปชันอย่างระบบกุญแจอัจริยะ Intelligent key พร้อมปุ่มเปิดท้ายรถและระบบ Immobilizer และ Panic alarm กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push start button เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย
ในส่วนของเครื่องยนต์เบนซินมีให้เลือกทั้ง 1.8 และ 1.6 ลิตร โดยบล็อกแรกเป็นรหัส MRA8DE ขนาด 1,798 ซีซี พร้อม ระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously-Variable Timing Control) ให้กำลังสูงสุด 131 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ XTRONIC CVT
นอกจากนี้นิสสัน ซิลฟี ยังใส่ออปชันอย่างระบบกุญแจอัจริยะ Intelligent key พร้อมปุ่มเปิดท้ายรถและระบบ Immobilizer และ Panic alarm กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push start button เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย
ในส่วนของเครื่องยนต์เบนซินมีให้เลือกทั้ง 1.8 และ 1.6 ลิตร โดยบล็อกแรกเป็นรหัส MRA8DE ขนาด 1,798 ซีซี พร้อม ระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously-Variable Timing Control) ให้กำลังสูงสุด 131 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ XTRONIC CVT
ด้านเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร รหัส HR16DE ได้รับการพัฒนาใหม่โดยการติดตั้งระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously Variable Timing Control) ผสานกับการทำงานของระบบหัวฉีดคู่ Dual Injector System นับเป็นครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกัน ด้วยความจุกระบอกสูบ1,598 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติแบบXTRONIC CVT
ด้านความปลอดภัยถือว่านิสสันใส่ใจไม่น้อยด้วยระบบเปิด-ปิดไฟ หน้าอัตโนมัติ ระบบดิสก์เบรค 4 ล้อ ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ขณะที่ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS Airbags) ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
สำหรับ นิสสัน ซิลฟี ใหม่ มีให้เลือก 6 รุ่นย่อย
รุ่น ราคา(บาท)
1.6 S MT 746,000
1.6 S CVT 776,000
1.6 E CVT 799,000
1.6 V CVT 833,000
1.8 V CVT 899,000
1.8 V Navi CVT 931,000
Honda City CNG
ประกาศเปิดตัว “ซิตี้ ซีเอ็นจี” ชูมาตรฐานการผลิตออกมาจากโรงงานแท้ๆ พร้อมรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กม.แถมรับสิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรก 100,000 บาท สนนราคา 659,000 และ 706,000 บาท
สำหรับฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ถือเป็นรถซีเอ็นจี รุ่นแรกของฮอนด้าที่ผลิตออกมาทำตลาด โดยเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตรพัฒนาให้รองรับทั้งน้ำมันและระบบก๊าซ CNG ทั้งยังมั่นใจด้วยระบบการจ่ายก๊าซแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกันสะเทือนใหม่ที่ได้รับการออกแบบเพื่อรถซีเอ็นจีโดยเฉพาะ
ฮอนด้าหวังให้ “ซิตี้ ซีเอ็นจี” เข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย ที่กำลังมองหารถยนต์พลังงานทางเลือกที่ให้สมรรถนะสูง แถมให้ความคุ้มค่าควบคู่ไปกับการรักษาจุดเด่นของซิตี้ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งดีไซน์อันโดเด่น และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระกว้างขวาง
ด้านเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก./ม.ที่ 4,800 รอบต่อนาที รองรับพลังงานน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4 ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการใช้พลังงานได้อย่างสะดวก เพียงปรับเปลี่ยนสวิตช์เลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิง จะมีไฟแสดงสถานะการใช้เชื้อเพลิง และไฟแสดงปริมาณก๊าซ ควบคุมการทำงานด้วยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ประมวลผลอย่างแม่นยำในการจ่ายก๊าซอย่างเหมาะสม และตัดการจ่ายก๊าซในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูง และท่อนำก๊าซแรงดันสูงผลิตจากสเตนเลสที่มีความทนทานและอุปกรณ์ลดแรงดันก๊าซ จะทำหน้าที่ปรับลดแรงดันก๊าซให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังติดตั้งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ใกล้จุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ ขณะที่ถังก๊าซความจุ 65 ลิตร มาพร้อมแผงกั้นแบ่งพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย เพื่อความสวยงามและป้องกันการกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย
ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ยังใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว พร้อมระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) เพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะถนนด้วยการติดตั้งระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อเสถียรภาพการทรงตัวและให้ความนุ่มนวลในการขับขี่
ภายในโครงสร้างรถด้านหลังออกแบบเพิ่มคานเสริมความแข็งแกร่ง (Cross Bar) เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ตลอดการเดินทาง พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งให้ความนุ่มนวลมั่นคงในทุกสภาพถนน ขณะที่โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ถุงลมคู่หน้า Dual SRS ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD จัดเป็นมาตรฐานความปลอดภัยทุกรุ่น
ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 6 สี แดงคาร์เนเลียน (มุก) น้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก) เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก)
เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) ขาวทาฟเฟต้า และ สีดำคริสตัล (มุก)
ในส่วนของการทำตลาดแบ่งจะ เป็น 2 รุ่นย่อยคือ S CNG ราคา 659,000 บาท และรุ่น V CNG ราคา 706,000 บาท ซึ่งรุ่นท็อปจะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว (รุ่น S เป็นล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบ) และสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย และต่างกันตรงอุปกรณ์เพื่อความสวยงามอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม “ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี” ทั้งสองรุ่นสามารถรับสิทธิ์คืนภาษีรถยนต์คันแรกเท่ากันที่ 100,000 บาท
สำหรับฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ถือเป็นรถซีเอ็นจี รุ่นแรกของฮอนด้าที่ผลิตออกมาทำตลาด โดยเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตรพัฒนาให้รองรับทั้งน้ำมันและระบบก๊าซ CNG ทั้งยังมั่นใจด้วยระบบการจ่ายก๊าซแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกันสะเทือนใหม่ที่ได้รับการออกแบบเพื่อรถซีเอ็นจีโดยเฉพาะ
ฮอนด้าหวังให้ “ซิตี้ ซีเอ็นจี” เข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย ที่กำลังมองหารถยนต์พลังงานทางเลือกที่ให้สมรรถนะสูง แถมให้ความคุ้มค่าควบคู่ไปกับการรักษาจุดเด่นของซิตี้ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งดีไซน์อันโดเด่น และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระกว้างขวาง
ด้านเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก./ม.ที่ 4,800 รอบต่อนาที รองรับพลังงานน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4 ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการใช้พลังงานได้อย่างสะดวก เพียงปรับเปลี่ยนสวิตช์เลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิง จะมีไฟแสดงสถานะการใช้เชื้อเพลิง และไฟแสดงปริมาณก๊าซ ควบคุมการทำงานด้วยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ประมวลผลอย่างแม่นยำในการจ่ายก๊าซอย่างเหมาะสม และตัดการจ่ายก๊าซในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูง และท่อนำก๊าซแรงดันสูงผลิตจากสเตนเลสที่มีความทนทานและอุปกรณ์ลดแรงดันก๊าซ จะทำหน้าที่ปรับลดแรงดันก๊าซให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังติดตั้งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ใกล้จุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ ขณะที่ถังก๊าซความจุ 65 ลิตร มาพร้อมแผงกั้นแบ่งพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย เพื่อความสวยงามและป้องกันการกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย
ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ยังใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว พร้อมระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) เพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะถนนด้วยการติดตั้งระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อเสถียรภาพการทรงตัวและให้ความนุ่มนวลในการขับขี่
ภายในโครงสร้างรถด้านหลังออกแบบเพิ่มคานเสริมความแข็งแกร่ง (Cross Bar) เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ตลอดการเดินทาง พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งให้ความนุ่มนวลมั่นคงในทุกสภาพถนน ขณะที่โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ถุงลมคู่หน้า Dual SRS ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD จัดเป็นมาตรฐานความปลอดภัยทุกรุ่น
ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 6 สี แดงคาร์เนเลียน (มุก) น้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก) เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก)
เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) ขาวทาฟเฟต้า และ สีดำคริสตัล (มุก)
ในส่วนของการทำตลาดแบ่งจะ เป็น 2 รุ่นย่อยคือ S CNG ราคา 659,000 บาท และรุ่น V CNG ราคา 706,000 บาท ซึ่งรุ่นท็อปจะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว (รุ่น S เป็นล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบ) และสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย และต่างกันตรงอุปกรณ์เพื่อความสวยงามอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม “ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี” ทั้งสองรุ่นสามารถรับสิทธิ์คืนภาษีรถยนต์คันแรกเท่ากันที่ 100,000 บาท
Vigo Prerunner 2.5 Auto
เริ่มจากไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ เพิ่ม 6 รุ่นใหม่ คือ
ตัวถังซิงเกิลแค็บ - ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2.5J (VNT)
ตัวถังสมาร์ทแค็บ - ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2.5G (VNT)
- พรีรันเนอร์ 2.5E ABS (NAVI)
ตัวถังดับเบิ้ลแค็บ - พรีรันเนอร์ 2.5E ABS (NAVI)
- พรีรันเนอร์ 2.5E ABS 5A/T
- พรีรันเนอร์ 2.5E ABS 5A/T (NAVI)
ในส่วนของขุมพลัง 1KD-FTV (VNT)ขนาด 3.0 ลิตร ปรับเรี่ยวแรงใหม่ ให้กำลังสูงสุด 171 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,200 รอบต่อนาที ส่วนบล็อก 2KD-FTV (VNT) 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที
โดดเด่นด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดใหม่ และระบบช่วงล่าง DTS (DIAMOND TECH SUSPENSION) ใหม่ แถมยังเพิ่มแผ่นรองพิเศษใต้เครื่องยนต์ ให้การไหลผ่านอากาศที่ดี เสริมการทรงตัวของรถที่ดียิ่งขึ้น
ภายในเสริมออปชัน (เฉพาะรุ่น) อย่างระบบนำทาง พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Eco Navi และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายบลูทูธ เครื่องเสียงแบบ 2 DIN DVD 1 แผ่น พร้อมจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว และลำโพง 6 ตำแหน่ง รวมถึงจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ (MID: Multi Information Display) แสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ต่อการขับขี่ อาทิ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะขับขี่ ความเร็วของรถโดยเฉลี่ย ฯลฯ
ด้านพวงมาลัย 4 ก้านแบบปรับระดับได้ พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มเลือกข้อมูลผลการขับขี่ (MID) มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ทั้งยังเสริมหมอนรองศีรษะเบาะนั่งด้านหลัง 3 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพด้านหลังหลัง
สำหรับไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ ราคา 507,000-999,000 บาท
The new SL-Class รุ่น SL 350 และ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster
วันนี้ (21 มิ.ย.) บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวยนตรกรรมแห่งตำนานสปอร์ต โรดสเตอร์เจเนอเรชันที่ 6 “The new SL-Class” รุ่น SL 350 และ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster ชูความโดดเด่นด้านการออกแบบลดน้ำหนักตัวรถจากโครงสร้างอะลูมิเนียม ภายใต้สมญานาม “Super Light” ผสมผสานการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ BlueDIRECT อันทรงพลังและประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น เปิดราคาจำหน่าย 14.49 ล้านบาท สำหรับ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster (รุ่น SL 350 ราคายังไม่เปิดเผย)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่ยึดถือความหมายของตัวอักษร “SL” ซึ่งย่อมาจาก “super, lightweight” โดยการลดน้ำหนักของตัวรถเป็นคุณลักษณะการออกแบบที่เด่นชัด และนับเป็นครั้งแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำตัวถังรถที่เป็นอะลูมิเนียมทั้งคัน มาใช้กับรถที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ใช้วัสดุชนิดอื่น
นอกจากนั้น ทีมผู้ออกแบบยังนำแมกนีเซียมซึ่งยิ่งมีน้ำหนักเบายิ่งขึ้นมาใช้เป็นชิ้นส่วน ปิดด้านหลังถังน้ำมัน และเสา A-Pillar เป็นเหล็กกล้าที่มีความแกร่งสูง เพื่อประสิทธิภาพในเรื่องความปลอดภัย
ขณะเดียวกัน น้ำหนักที่ลดลงนำมาซึ่งความปราดเปรียวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่าเดิม โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่น SL 500 ใหม่ (1,785 กก.) มีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 125 กิโลกรัม และ SL 350 ใหม่ (1,685 กก.) น้ำหนักตัวรถลดลงถึง 140 กิโลกรัม
ในขณะที่ SL 350 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V6 ขนาด 3498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด225 กิโลวัตต์ หรือ 306 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 370 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500-5,250 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเวลา 5.9 วินาที มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 6.8-7.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 13.3-14.7 กิโลเมตรต่อลิตร หรือลดลงจากเดิม 30%
โดยทั้งสองรุ่นถ่ายทอดกำลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS พร้อมเพิ่มความประหยัดด้วยฟังก์ชัน ECO Start/Stop ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยมีความยาวตัวรถที่ 4,617 มม. (เพิ่มขึ้น 50 มม.) ความกว้างที่ 1,877 มม. (กว้างขึ้น 57 มม.) เส้นสายภายในตกแต่งด้วยลายไม้เชื่อมยาวจากคอนโซลกลางไปถึงแผงหน้าปัดและต่อ เนื่องจนไปถึงประตู พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับได้ถึง 3 เฉดสี คือ สีขาว ส้ม และแดง โดยเลือกเปลี่ยนสีที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย
รูปลักษณ์ภายนอกสะท้อนถึงความหรูหรา สง่างาม เริ่มตั้งแต่กระโปรงหน้าที่ยาวรับกับห้องโดยสาร ซึ่งอยู่ในตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลัง พร้อมเสริมความงดงามสมบูรณ์แบบด้วยส่วนท้ายของรถที่กว้างและดูทรงพลัง บวกกับเส้นสายที่รับกับทรวดทรงด้านข้างดูแข็งแกร่งทรงพลังแต่แฝงไว้ด้วยความ สุขุม ต่อด้วยช่องระบายอากาศและครีบโครเมียม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรถรุ่นนี้ สอดรับกับกระจังหน้าแบบรถสปอร์ตคลาสสิกในสไตล์ร่วมสมัย
ส่วนชุดโคมไฟหน้าแบบไบซีนอน ที่ลาดเอียงดูปราดเปรียววางทอดยาวไปสู่ด้านข้าง มาคู่กับระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System - ILS) โดยมีฟังก์ชั่นการส่องสว่างถึง 5 แบบ พร้อมด้วยไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาที่เด่นสะดุดตา และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED นอกจาก นั้นยังโดดเด่นด้วยระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) เพียงยื่นปลายเท้าไปใต้กันชนหลัง และหลังคากระจกแบบ Panoramic Vario-roof เปิด-ปิดหลังคาโดยใช้เวลาเพียง 20 วินาที โดยมาพร้อมกับฟังก์ชั่น พิเศษ MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับระดับความเข้มของหลังคาเพียงปลายนิ้วสัมผัส เพื่อเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นโรดสเตอร์ หรือคูเป้ได้ตามต้องการอย่างรวดเร็ว
เหนืออื่นใดยังเป็นการเปิดตัวสองนวัตกรรมใหม่ ครั้งแรกของโลกสำหรับ MAGIC VISION CONTROL ระบบ การทำงานของใบปัดน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งน้ำฉีดล้างกระจกจะถูกส่งออกมาจากก้านปัดน้ำฝนโดยตรง โดยมีการปัดในสองทิศทาง ทำให้ไม่มีการกระจายตัวของละอองน้ำที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ในขณะ ฉีดน้ำ
รวมถึงระบบเสียง Front Bass ซึ่ง ใช้พื้นที่ว่างในโครงสร้างอะลูมิเนียมของตัวรถด้านหน้าเป็นจุดติดตั้งลำโพง เสียงเบส ทำให้เกิดเสียงทุ้มที่สะอาดลุ่มลึกและชัดเจน ให้ความรู้สึกดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและช่วยสร้างบรรยากาศเสียงแบบคอนเสิร์ต ฮอลล์ได้แม้ในขณะที่เปิดหลังคา
ด้านความปลอดภัยมีครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ซึ่งมีเพียงแบรนด์เดียวในโลก และระบบช่วยเหลือต่างๆ อาทิ ระบบเข็มขัดนิรภัยแบบรั้งกลับอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ถุงลมนิรภัยบริเวณศีรษะ พนักพิงศีรษะ NECK-PRO ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ATTENTION ASSIST ระบบ ADAPTIVE BRAKE และระบบช่วยจอด Active Parking Assist เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่
สำหรับค่าตัวของ “The new SL-Class” รุ่น SL 350 ยังไม่เปิดเผย ส่วน SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster สนนราคาอยู่ที่ 14,490,000 บาท โดยมาพร้อมชุดแต่ง AMG Sports packageอาทิ กันชนหน้า กันชนหลัง และสเกิร์ตข้าง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันดีไซน์สปอร์ตแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงาน 12 จุด หุ้มด้วยหนัง Nappa อย่างดี, แผงหน้าปัดลายธงตาหมากรุก, เบาะนั่งตัดเย็บแนวตั้ง เดินขอบด้วยสี designo platinum white pearl (เฉพาะเบาะนั่งสีดำ), ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ และต่ำลงกว่าปกติ 10 มม., ดิสก์เบรกหน้า-หลังแบบมีช่องระบายความร้อน พร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า, ล้ออัลลอย AMG ลาย 5 ก้าน ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางหน้า 225/35 R19 และยางหลัง 285/30 R19และพรมรองพื้นสีดำพร้อมสัญลักษณ์ AMG
Subscribe to:
Posts (Atom)
Popular Posts
-
รายละเอียดรถ HONDA CITY 2010 ตัวถังมีขยายใหญ่ขึ้น มีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตรสูง 1,470 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ i-VTEC ข...
-
กันยายนปีที่แล้ว (2010) เชฟโรเลต เผยภาพออฟฟิเชียลรุ่นปรับโฉมของ Chevrolet Captiva ทั้งหน้า - หลัง แบบที่แฟนๆ เห็นแล้วคงต้องยิ้มอย่างพอใจ ไม...
-
มีด้วยกันทั้งหมด 6 แบบ 6 สไตล์ โดยแต่ละแบบจะได้รับการติดตั้งชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ดีไซน์ให้มีลักษณะเด่น เฉพาะตัว น่ารัก สีสันสดใส บ่งบอกเอกลักษ...
-
หลังโดน “เกรย์มาร์เก็ต” กระหน่ำไม่ไว้หน้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ย่อมอยู่เฉยไม่ได้ ล่าสุดประกาศเปิดรับจองสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นดัง S...
-
เป็นสองค่ายอเมริกันใจถึง ที่กล้านำเก๋งระดับคอมแพกต์เครื่องยนต์ดีเซลมาเปิดตลาดในเมืองไทย (ไม่นับกลุ่มรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดั...
-
Mazda 2 เปิดตัวในไทยไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 53 ที่ผ่านมา สำหรับ รถยนต์ซิตี้คาร์ แฮชแบค 5 ประตู น้องใหม่ล่าสุด จากทางมาส...
-
หลังจากการเปิดตัว “ครูซ” เก๋งคอมแพกต์รุ่นใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เชฟโรเลตเสริมทัพด้วยรถธง “แคปติวา ใหม่” หรือโฉ...
-
Honda jazz โฉมใหม่ ปี 2011 เปลี่ยนโฉมครั้งสุดท้ายก่อนเปลี่ยน body ไปเป็นรุ่นใหม่ รุ่นนี้มาพร้อมกับสีส้มใหม่ ที่เป็นสีเดียวกับ Honda FIT RS ...
-
ภายนอกค่ายสามห่วงได้มีการปรับหน้าตาของกระบะตัวแสบของค่ายใหม่จากเดิม ที่มีลุคดุดันคล้ายตัวนอกจนเป้นที่ชื่นชอบของหลายคนแต่ครั้งนี้ รถกระบะแชม...