Monday, April 28, 2014

Toyota PRIUS TRD Sportivo


พริอุส รุ่นพิเศษ PRIUS TRD Sportivo ใหม่ ที่มาพร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคันทั้งภายนอกและภายใน




สำหรับโตโยต้า พริอุส ยนตรกรรมไฮบริดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 2,700,000 คันทั่วโลก (ยอดขายสะสมตั้งแต่ พ.ศ.2540 ถึง สิงหาคม 2555) ด้วยรูปลักษณ์ล้ำสมัยทั้งภายในและภายนอก เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีที่ป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไร้ซึ่งมลภาวะทาง เสียง

โดยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร Atkinson Cycle 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้กำลัง 99 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า E-CVT เมื่อผสานกำลังกันจึงรีดแรงม้าได้สูงสุด 136 ตัว



ในส่วนของพริอุส รุ่นพิเศษ PRIUS TRD Sportivo ใหม่ มาพร้อมชุดแต่งTRD Sportivo รอบคัน ไล่ตั้งแต่สเกิร์ตกันชนหน้า สเกิร์ตกันชนหลัง ล้ออัลลอยลายใหม่ แบบ Smoke Chrome คม เข้ม เร้าใจ ขนาด 16นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55/R16 ทั้งยังเสริมความโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ “TRD Sportivo”… ในด้านข้าง และ ด้านหลัง

ภายในใช้เบาะหนังสีดำใหม่ พรมปูพื้นลายพิเศษพร้อมสัญลักษณ์ TRD Sportivo รวมถึงชุดเครื่องเสียงใหม่ รองรับDVD/CD/MP3/WMA หน้าจอสัมผัส พร้อมช่องเสียบอุปกรณ์ USB สามารถเชื่อมต่อ Smart Phone และรองรับบริการพิเศษจาก Toyota Smart G-BOOK

พริอุส รุ่นพิเศษ PRIUS TRD Sportivo มี 3 สีให้เลือกWhite Pearl Crystal ,Attitude Black Mica, Red Mica Metallic สนนราคา 1,269,000 บาท (สำหรับสี White Pearl Crystal เพิ่ม 10,000บาท)



Honda Freed New ฮอนด้า ฟรีด โฉมใหม่



ฮอนด้า ฟรีด เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 และมีการเติบโตจนกลายเป็นรถยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งในตลาดญี่ปุ่นภายในหนึ่งปี ฟรีด สามารถทำยอดการจำหน่ายได้สูงถึง 77,000 คัน และยังรับรางวัล “รถยนต์อันทรงคุณค่า” ประจำปี 2551-2552 ประเทศญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทย ฮอนด้ามีการนำเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 เป็นต้นมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขาย 11,400 คัน (ม.ค.2553 - ก.ค.2555)

ล่าสุด วันนี้ (4 ก.ย.) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัว ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ โดยมีการปรับโฉม เพิ่มความโฉบเฉี่ยว แนวสปอร์ต พร้อมเติมความสะดวกสบายภายในรถเพียบ สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ โคมไฟหน้าสีเงินแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ กระจังหน้าแบบโครเมียมดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยไฟท้ายและคิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียมพร้อม สปอยเล่อร์หลัง ล้ออัลลอยดีไซน์ ใหม่



ณะที่ภายในห้องโดยสาร เป็นเบาะหนัง แถมด้านคนขับสามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ นอกจากนี้ ยังมีพนักเท้าแขนทั้งผู้โดยสารแถวหน้าและแถว 2 พร้อมให้ความบันเทิงเต็มรูปแบบ ด้วยระบบเครื่องเสียงแบบวิทยุ MP3 พร้อมจอ LCD ระบบสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง และอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับด้วยสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยและการ เชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth (เฉพาะรุ่น EL) กล้องส่องภาพด้านหลัง ช่วยให้ถอดจอดได้อย่างมั่นใจ สำหรับผู้โดยสารตอนหลังยังเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นดีวีดี พร้อมจอ LCD ขนาด 10 นิ้ว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเฉพาะรุ่น EL

ฟรีดใหม่มี 2 รุ่น คือ รุ่น SE ราคา 839,000 บาท และรุ่น EL ราคา 949,000 บาท มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวบริลเลียนท์ (มุก-ต้องเพิ่มเงิน 10,000 บาท), สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีใหม่ คือ สีน้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก) ตั้งเป้าขายที่ 12,000 คันภายในหนึ่งปี

นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัวฮอนด้า ฟรีด ใหม่ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในทุก ไลฟ์สไตล์ ประกอบกับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผู้บริโภคเริ่มมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์เรื่องการใช้งานเป็นหลัก รถยนต์ต้องมีฟังก์ชั่นการใช้สอยแบบสารพัดประโยชน์ รถยนต์อเนกประสงค์ หรือ Multipurpose Utility Vehicle (MUV) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาด และเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในตลาดต่างๆ รวมไปถึงในญี่ปุ่นและยุโรป




“ประเทศไทยเราก็มีการศึกษารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองในปัจจุบัน แล้วพบว่า ลูกค้ามีความสนใจรถยนต์อเนกประสงค์ บวกกับคนในวัยทำงานมีกิจกรรมประจำวันมากขึ้น ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน รวมไปถึงกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือแม้แต่การใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัว ดังนั้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ฮอนด้าจึงนำฮอนด้า ฟรีด เข้ามาทำตลาด ด้วยเราเชื่อมั่นว่า รถยนต์อเนกประสงค์มีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นในเมืองไทย”

สำหรับด้านการสื่อสารการตลาดจะมุ่งไปที่ประสบการณ์การใช้ ชีวิตอย่างมีความสุขใน ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Journey of Love โดยฮอนด้าจัดทำภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งเป็นเรื่องราวน่ารักๆ ของการพบรักของเจ้าของร้านดอกไม้กับร้านดนตรี โดยมีฮอนด้า ฟรีด เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของความรัก สำหรับเพลงประกอบหนังโฆษณาชุดนี้ ได้เลือกใช้เพลง “คนข้างๆ” ของศิลปินแนวอินดี้วง 25 Hours ซึ่งมีเนื้อร้องที่เข้ากันกับเนื้อเรื่องอย่างลงตัว โดยจะออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 5 กันยายน และนอกจากนี้ ยังมีซีรีส์ The Journey of Love อีก 3 ตอน ซึ่งสามารถติดตามรับชม ซีรีส์ของฮอนด้า ฟรีด ใหม่ได้ที่ www.honda.co.th/Freed

ฮอนด้า ฟรีด เป็นยนตรกรรมขนาด 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมพลังขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ SOHC i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว สนุกทุกการขับขี่ พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control ช่วยรักษาความเร็วขณะเข้าโค้ง ระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนและเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.2 เมตร

Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี


ได้ฤกษ์เปิดตัวเก๋งคอมแพกต์ซีดานรุ่นใหม่ “นิสสัน ซิลฟี” ซึ่งถือเป็นการอุดช่องว่างของโปรดักต์ที่นิสสันหายจากการทำตลาดไปนานหลายปี โดยรุ่นนี้ชูความโดดเด่นของรูปลักษณ์ พื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร และออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัยเพียบ พร้อมขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตรใหม่ ประกบเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งแบ่งการขายเป็น 6 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นที่ 746,000- 931,000บาท

หลังจากนิสสันไม่มีเก๋งคอมแพกต์ตัวถังซีดานแท้ๆ หรือระดับเดียวกับพวก “อัลติส” “ซีวิค” ทำตลาดมาสักระยะ แต่ล่าสุดนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย พร้อมแล้วกับการเสริมโปรดักต์ให้ครบไลน์ด้วย “ซิลฟี ใหม่” ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่สองที่เปิดตัวพร้อมขายเก๋งรุ่นนี้ต่อจากประเทศจีน







โดย“นิสสัน ซิลฟี”ถือว่ามีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งระดับเดียวกัน ทั้งยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ จึงมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำ 0.29 โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบ Multi-reflector พร้อมหลอดไฟ LED ที่ติดตั้งทั้งในตำแหน่งไฟหรี่ด้านหน้า ชุดไฟท้าย ไฟเบรคดวงที่สาม และไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง

ส่วนกันชนขนาดใหญ่และกระจังหน้าพร้อมช่องระบายอากาศแบบรัง ผึ้งที่ออกแบบมาให้ดูมีมิติมากขึ้น เสริมด้วยชุดโครเมียมบริเวณกระจังหน้า ที่เปิดประตูและด้านกระโปรงท้าย พร้อมประกบล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางพร้อมการตกแต่งอย่างหรูหรา ขณะที่แผงคอนโซลกลางประดับด้วยชุดลายไม้ (ในรุ่น1.8V Navi 1.8V และ 1.6 V) และเมทัลลิก(ในรุ่น 1.6E และ 1.6S ลิตร) ส่วนพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นแบบ 3 ก้าน ปรับได้ 4 ทิศทางหุ้มหนัง (ในรุ่น1.8V Navi 1.8V และ 1.6 V) เย็นช่ำด้วยระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อมแยกปรับอุณหภูมิอิสระได้ซ้าย -ขวา ทั้งยังเพิ่มช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอีกด้วย (เฉพาะรุ่น 1.8V Navi 1.8 V และ 1.6 V)




       ด้านแผงหน้าปัดเรืองแสง (Fine Vision Meter) ขนาดใหญ่พร้อมจอแสดงข้อมูล Multi Information Display จัดให้ในทุกรุ่น เพื่อแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งในแบบใช้จริง และเฉลี่ย/ชั่วโมง มาตรวัดระยะทางย่อยและระยะทางรวม ส่วนชุดเครื่องเสียงแบบ Built-in ลำโพง 6 ตัว พร้อมหน้าจอสีขนาด 4.3นิ้วในรุ่น1.8 V เล่นซีดี 1 แผ่นและเครื่องเล่น MP3 และช่องต่อ AUX และอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB บริเวณช่องเก็บของ ส่วนรุ่น 1.8V Navi ติดตั้งระบบนำทาง Navigation system บนหน้าจอ 5.8นิ้ว พร้อมกล้องมองหลังที่ช่วยให้มองได้ไกลถึงสามเมตร (มีในรุ่น 1.8V )

นอกจากนี้นิสสัน ซิลฟี ยังใส่ออปชันอย่างระบบกุญแจอัจริยะ Intelligent key พร้อมปุ่มเปิดท้ายรถและระบบ Immobilizer และ Panic alarm กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push start button เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย

ในส่วนของเครื่องยนต์เบนซินมีให้เลือกทั้ง 1.8 และ 1.6 ลิตร โดยบล็อกแรกเป็นรหัส MRA8DE ขนาด 1,798 ซีซี พร้อม ระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously-Variable Timing Control) ให้กำลังสูงสุด 131 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ XTRONIC CVT


ด้านเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร รหัส HR16DE ได้รับการพัฒนาใหม่โดยการติดตั้งระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously Variable Timing Control) ผสานกับการทำงานของระบบหัวฉีดคู่ Dual Injector System นับเป็นครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกัน ด้วยความจุกระบอกสูบ1,598 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติแบบXTRONIC CVT

ด้านความปลอดภัยถือว่านิสสันใส่ใจไม่น้อยด้วยระบบเปิด-ปิดไฟ หน้าอัตโนมัติ ระบบดิสก์เบรค 4 ล้อ ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ขณะที่ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS Airbags) ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)



สำหรับ นิสสัน ซิลฟี ใหม่ มีให้เลือก 6 รุ่นย่อย

รุ่น ราคา(บาท)
1.6 S MT 746,000
1.6 S CVT 776,000
1.6 E CVT 799,000
1.6 V CVT 833,000
1.8 V CVT 899,000
1.8 V Navi CVT 931,000


Honda City CNG

ประกาศเปิดตัว “ซิตี้ ซีเอ็นจี” ชูมาตรฐานการผลิตออกมาจากโรงงานแท้ๆ พร้อมรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กม.แถมรับสิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรก 100,000 บาท สนนราคา 659,000 และ 706,000 บาท




สำหรับฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ถือเป็นรถซีเอ็นจี รุ่นแรกของฮอนด้าที่ผลิตออกมาทำตลาด โดยเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตรพัฒนาให้รองรับทั้งน้ำมันและระบบก๊าซ CNG ทั้งยังมั่นใจด้วยระบบการจ่ายก๊าซแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกันสะเทือนใหม่ที่ได้รับการออกแบบเพื่อรถซีเอ็นจีโดยเฉพาะ

ฮอนด้าหวังให้ “ซิตี้ ซีเอ็นจี” เข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย ที่กำลังมองหารถยนต์พลังงานทางเลือกที่ให้สมรรถนะสูง แถมให้ความคุ้มค่าควบคู่ไปกับการรักษาจุดเด่นของซิตี้ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งดีไซน์อันโดเด่น และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระกว้างขวาง

ด้านเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก./ม.ที่ 4,800 รอบต่อนาที รองรับพลังงานน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4 ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการใช้พลังงานได้อย่างสะดวก เพียงปรับเปลี่ยนสวิตช์เลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิง จะมีไฟแสดงสถานะการใช้เชื้อเพลิง และไฟแสดงปริมาณก๊าซ ควบคุมการทำงานด้วยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ประมวลผลอย่างแม่นยำในการจ่ายก๊าซอย่างเหมาะสม และตัดการจ่ายก๊าซในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูง และท่อนำก๊าซแรงดันสูงผลิตจากสเตนเลสที่มีความทนทานและอุปกรณ์ลดแรงดันก๊าซ จะทำหน้าที่ปรับลดแรงดันก๊าซให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด

 นอกจากนี้ ยังติดตั้งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ใกล้จุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ ขณะที่ถังก๊าซความจุ 65 ลิตร มาพร้อมแผงกั้นแบ่งพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย เพื่อความสวยงามและป้องกันการกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย



ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ยังใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว พร้อมระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) เพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะถนนด้วยการติดตั้งระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อเสถียรภาพการทรงตัวและให้ความนุ่มนวลในการขับขี่

ภายในโครงสร้างรถด้านหลังออกแบบเพิ่มคานเสริมความแข็งแกร่ง (Cross Bar) เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ตลอดการเดินทาง พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งให้ความนุ่มนวลมั่นคงในทุกสภาพถนน ขณะที่โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ถุงลมคู่หน้า Dual SRS ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD จัดเป็นมาตรฐานความปลอดภัยทุกรุ่น



ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 6 สี แดงคาร์เนเลียน (มุก) น้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก) เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก)
เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) ขาวทาฟเฟต้า และ สีดำคริสตัล (มุก)

ในส่วนของการทำตลาดแบ่งจะ เป็น 2 รุ่นย่อยคือ S CNG ราคา 659,000 บาท และรุ่น V CNG ราคา 706,000 บาท ซึ่งรุ่นท็อปจะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว (รุ่น S เป็นล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบ) และสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย และต่างกันตรงอุปกรณ์เพื่อความสวยงามอีกเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม “ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี” ทั้งสองรุ่นสามารถรับสิทธิ์คืนภาษีรถยนต์คันแรกเท่ากันที่ 100,000 บาท



Vigo Prerunner 2.5 Auto




 เริ่มจากไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ เพิ่ม 6 รุ่นใหม่ คือ

ตัวถังซิงเกิลแค็บ - ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2.5J (VNT)

ตัวถังสมาร์ทแค็บ - ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2.5G (VNT)
- พรีรันเนอร์ 2.5E ABS (NAVI)

ตัวถังดับเบิ้ลแค็บ - พรีรันเนอร์ 2.5E ABS (NAVI)
- พรีรันเนอร์ 2.5E ABS 5A/T
- พรีรันเนอร์ 2.5E ABS 5A/T (NAVI)







ในส่วนของขุมพลัง 1KD-FTV (VNT)ขนาด 3.0 ลิตร ปรับเรี่ยวแรงใหม่ ให้กำลังสูงสุด 171 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,200 รอบต่อนาที ส่วนบล็อก 2KD-FTV (VNT) 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที

โดดเด่นด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดใหม่ และระบบช่วงล่าง DTS (DIAMOND TECH SUSPENSION) ใหม่ แถมยังเพิ่มแผ่นรองพิเศษใต้เครื่องยนต์ ให้การไหลผ่านอากาศที่ดี เสริมการทรงตัวของรถที่ดียิ่งขึ้น

ภายในเสริมออปชัน (เฉพาะรุ่น) อย่างระบบนำทาง พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Eco Navi และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายบลูทูธ เครื่องเสียงแบบ 2 DIN DVD 1 แผ่น พร้อมจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว และลำโพง 6 ตำแหน่ง รวมถึงจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ (MID: Multi Information Display) แสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ต่อการขับขี่ อาทิ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะขับขี่ ความเร็วของรถโดยเฉลี่ย ฯลฯ

ด้านพวงมาลัย 4 ก้านแบบปรับระดับได้ พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มเลือกข้อมูลผลการขับขี่ (MID) มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ทั้งยังเสริมหมอนรองศีรษะเบาะนั่งด้านหลัง 3 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพด้านหลังหลัง

สำหรับไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ ราคา 507,000-999,000 บาท


The new SL-Class รุ่น SL 350 และ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster


วันนี้ (21 มิ.ย.) บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวยนตรกรรมแห่งตำนานสปอร์ต โรดสเตอร์เจเนอเรชันที่ 6 “The new SL-Class” รุ่น SL 350 และ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster ชูความโดดเด่นด้านการออกแบบลดน้ำหนักตัวรถจากโครงสร้างอะลูมิเนียม ภายใต้สมญานาม “Super Light” ผสมผสานการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ BlueDIRECT อันทรงพลังและประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น เปิดราคาจำหน่าย 14.49 ล้านบาท สำหรับ SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster (รุ่น SL 350 ราคายังไม่เปิดเผย)

เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่ยึดถือความหมายของตัวอักษร “SL” ซึ่งย่อมาจาก “super, lightweight” โดยการลดน้ำหนักของตัวรถเป็นคุณลักษณะการออกแบบที่เด่นชัด และนับเป็นครั้งแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำตัวถังรถที่เป็นอะลูมิเนียมทั้งคัน มาใช้กับรถที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ใช้วัสดุชนิดอื่น


นอกจากนั้น ทีมผู้ออกแบบยังนำแมกนีเซียมซึ่งยิ่งมีน้ำหนักเบายิ่งขึ้นมาใช้เป็นชิ้นส่วน ปิดด้านหลังถังน้ำมัน และเสา A-Pillar เป็นเหล็กกล้าที่มีความแกร่งสูง เพื่อประสิทธิภาพในเรื่องความปลอดภัย

ขณะเดียวกัน น้ำหนักที่ลดลงนำมาซึ่งความปราดเปรียวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่าเดิม โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่น SL 500 ใหม่ (1,785 กก.) มีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 125 กิโลกรัม และ SL 350 ใหม่ (1,685 กก.) น้ำหนักตัวรถลดลงถึง 140 กิโลกรัม


สำหรับพลังขุมขับเคลื่อน เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL 500 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V8 เทอร์โบคู่ 4663 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 320 กิโลวัตต์ หรือ 435 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-3,500 รอบต่อนาที (แรงม้ามากกว่ารุ่นก่อน 12% และแรงบิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 32%) เร่งทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 4.6 วินาที ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงจากเดิม 22%

ในขณะที่ SL 350 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ BlueDIRECT V6 ขนาด 3498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด225 กิโลวัตต์ หรือ 306 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 370 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500-5,250 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเวลา 5.9 วินาที มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 6.8-7.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 13.3-14.7 กิโลเมตรต่อลิตร หรือลดลงจากเดิม 30%

โดยทั้งสองรุ่นถ่ายทอดกำลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS พร้อมเพิ่มความประหยัดด้วยฟังก์ชัน ECO Start/Stop ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน


 ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยมีความยาวตัวรถที่ 4,617 มม. (เพิ่มขึ้น 50 มม.) ความกว้างที่ 1,877 มม. (กว้างขึ้น 57 มม.) เส้นสายภายในตกแต่งด้วยลายไม้เชื่อมยาวจากคอนโซลกลางไปถึงแผงหน้าปัดและต่อ เนื่องจนไปถึงประตู พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับได้ถึง 3 เฉดสี คือ สีขาว ส้ม และแดง โดยเลือกเปลี่ยนสีที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย



รูปลักษณ์ภายนอกสะท้อนถึงความหรูหรา สง่างาม เริ่มตั้งแต่กระโปรงหน้าที่ยาวรับกับห้องโดยสาร ซึ่งอยู่ในตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลัง พร้อมเสริมความงดงามสมบูรณ์แบบด้วยส่วนท้ายของรถที่กว้างและดูทรงพลัง บวกกับเส้นสายที่รับกับทรวดทรงด้านข้างดูแข็งแกร่งทรงพลังแต่แฝงไว้ด้วยความ สุขุม ต่อด้วยช่องระบายอากาศและครีบโครเมียม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรถรุ่นนี้ สอดรับกับกระจังหน้าแบบรถสปอร์ตคลาสสิกในสไตล์ร่วมสมัย

ส่วนชุดโคมไฟหน้าแบบไบซีนอน ที่ลาดเอียงดูปราดเปรียววางทอดยาวไปสู่ด้านข้าง มาคู่กับระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System - ILS) โดยมีฟังก์ชั่นการส่องสว่างถึง 5 แบบ พร้อมด้วยไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาที่เด่นสะดุดตา และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED นอกจาก นั้นยังโดดเด่นด้วยระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) เพียงยื่นปลายเท้าไปใต้กันชนหลัง และหลังคากระจกแบบ Panoramic Vario-roof เปิด-ปิดหลังคาโดยใช้เวลาเพียง 20 วินาที โดยมาพร้อมกับฟังก์ชั่น พิเศษ MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับระดับความเข้มของหลังคาเพียงปลายนิ้วสัมผัส เพื่อเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นโรดสเตอร์ หรือคูเป้ได้ตามต้องการอย่างรวดเร็ว

เหนืออื่นใดยังเป็นการเปิดตัวสองนวัตกรรมใหม่ ครั้งแรกของโลกสำหรับ MAGIC VISION CONTROL ระบบ การทำงานของใบปัดน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งน้ำฉีดล้างกระจกจะถูกส่งออกมาจากก้านปัดน้ำฝนโดยตรง โดยมีการปัดในสองทิศทาง ทำให้ไม่มีการกระจายตัวของละอองน้ำที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ในขณะ ฉีดน้ำ

รวมถึงระบบเสียง Front Bass ซึ่ง ใช้พื้นที่ว่างในโครงสร้างอะลูมิเนียมของตัวรถด้านหน้าเป็นจุดติดตั้งลำโพง เสียงเบส ทำให้เกิดเสียงทุ้มที่สะอาดลุ่มลึกและชัดเจน ให้ความรู้สึกดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและช่วยสร้างบรรยากาศเสียงแบบคอนเสิร์ต ฮอลล์ได้แม้ในขณะที่เปิดหลังคา


ด้านความปลอดภัยมีครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ซึ่งมีเพียงแบรนด์เดียวในโลก และระบบช่วยเหลือต่างๆ อาทิ ระบบเข็มขัดนิรภัยแบบรั้งกลับอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ถุงลมนิรภัยบริเวณศีรษะ พนักพิงศีรษะ NECK-PRO ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ATTENTION ASSIST ระบบ ADAPTIVE BRAKE และระบบช่วยจอด Active Parking Assist เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL รุ่นใหม่

สำหรับค่าตัวของ “The new SL-Class” รุ่น SL 350 ยังไม่เปิดเผย ส่วน SL 500 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster สนนราคาอยู่ที่ 14,490,000 บาท โดยมาพร้อมชุดแต่ง AMG Sports packageอาทิ กันชนหน้า กันชนหลัง และสเกิร์ตข้าง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันดีไซน์สปอร์ตแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงาน 12 จุด หุ้มด้วยหนัง Nappa อย่างดี, แผงหน้าปัดลายธงตาหมากรุก, เบาะนั่งตัดเย็บแนวตั้ง เดินขอบด้วยสี designo platinum white pearl (เฉพาะเบาะนั่งสีดำ), ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ และต่ำลงกว่าปกติ 10 มม., ดิสก์เบรกหน้า-หลังแบบมีช่องระบายความร้อน พร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า, ล้ออัลลอย AMG ลาย 5 ก้าน ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางหน้า 225/35 R19 และยางหลัง 285/30 R19และพรมรองพื้นสีดำพร้อมสัญลักษณ์ AMG


Popular Posts