ด้านรถตู้นิสสัน เออร์แวน ใหม่ ที่จะใช้ชื่อทางการตลาดว่า “บิ๊ก เออร์แวน” ไม่เพียงแต่ตัวถังจะใหญ่ขึ้นและกว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ ยังมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล YD25DDTi ขนาด2.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 356 นิวตันเมตร ส่งกัลงด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด
ส่วนภายในบิ๊ก เออร์แวน ใหม่ ให้ความสะดวกสบายมากขึ้นด้วยช่องแอร์ที่มากถึง 18 จุด 16 ที่นั่ง หน้าจอแสดงผลแบบ Multi-Information Display ทันสมัย สนนราคา 1,158,000 บาท
Tuesday, April 21, 2015
Nissan March Minor Change
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “มาร์ช ไมเนอร์เชนจ์” และ “เออร์แวน ใหม่” โดยรุ่นแรกปรับรูปลักษณ์เล็กน้อย ด้วยการออกแบบกระจังหน้าใหม่ เปลี่ยนลายล้ออัลลอยด์ และหันมาใช้หลอดไฟ LED กับไฟท้าย ส่วนราคาปรับขึ้น 8,000-14,000 บาท ขณะที่รถตู้ใช้ชื่อใหม่ว่า “บิ๊ก เออร์แวน” มากับขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น พร้อมเครื่องยนต์ดีซลคอมมอนเรลขนาด 2.5 ลิตร แรงบิดระดับ 356 นิวตัน-เมตร สนนราคา 1,158,000 บาท
สำหรับการพัฒนานิสสัน มาร์ช ไมเนอร์เชนจ์ ยังคงคอนเซ็ปป์การทำให้ชีวิตง่ายขึ้นอีก พร้อมยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ในกลุ่มซับคอมแพคและอีโคคาร์ สะท้อนภาพลักษณ์ของความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีชีวิตชีวา
นิสสัน มาร์ช ใหม่ ได้สอดแทรกความมีมิติและความทันสมัยผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นมากขึ้น ด้วยกระจังหน้าใหม่โครเมียม เพิ่มไฟตัดหมอกและไฟท้ายแบบ LED และล้ออัลลอย15นิ้วลายใหม่
ขณะเดียวกันยังเพิ่มสีภายนอกใหม่ 2 สี คือ เขียว กรีน โอลีฟ และชมพู สวีท พิงค์ จากเดิมที่มี ขาว ไวท์ เพิร์ล,สีเขียว สปริง กรีน, สีส้ม ซันไลท์, สีดำแบล็ค สตาร์, สีเงิน บริลเลียนท์ ซิลเวอร์ รวม 7 สีให้ลูกค้าเลือก
ภายทันสมัยมากขึ้นด้วยแผงแสดงผลหน้าจอล้อมกรอบด้วยโครเมี่ยม สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ช่องเชื่อมต่อ USB ไฟในห้องเก็บสัมภาระ และวัสดุเบาะที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ด้านเครื่องยนต์ไม่ได้ทำการปรับเปลี่ยนอะไร ยังใช้รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร 3 สูบ 79 แรงม้า ประกบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในนิสสัน มาร์ช ทุกรุ่น และระบบเบรก ABS EBD BA ตั้งแต่รุ่น E เป็นต้นไป
ราคานิสสัน มาร์ช
สำหรับการพัฒนานิสสัน มาร์ช ไมเนอร์เชนจ์ ยังคงคอนเซ็ปป์การทำให้ชีวิตง่ายขึ้นอีก พร้อมยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ในกลุ่มซับคอมแพคและอีโคคาร์ สะท้อนภาพลักษณ์ของความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีชีวิตชีวา
นิสสัน มาร์ช ใหม่ ได้สอดแทรกความมีมิติและความทันสมัยผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นมากขึ้น ด้วยกระจังหน้าใหม่โครเมียม เพิ่มไฟตัดหมอกและไฟท้ายแบบ LED และล้ออัลลอย15นิ้วลายใหม่
ขณะเดียวกันยังเพิ่มสีภายนอกใหม่ 2 สี คือ เขียว กรีน โอลีฟ และชมพู สวีท พิงค์ จากเดิมที่มี ขาว ไวท์ เพิร์ล,สีเขียว สปริง กรีน, สีส้ม ซันไลท์, สีดำแบล็ค สตาร์, สีเงิน บริลเลียนท์ ซิลเวอร์ รวม 7 สีให้ลูกค้าเลือก
ภายทันสมัยมากขึ้นด้วยแผงแสดงผลหน้าจอล้อมกรอบด้วยโครเมี่ยม สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ช่องเชื่อมต่อ USB ไฟในห้องเก็บสัมภาระ และวัสดุเบาะที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ด้านเครื่องยนต์ไม่ได้ทำการปรับเปลี่ยนอะไร ยังใช้รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร 3 สูบ 79 แรงม้า ประกบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในนิสสัน มาร์ช ทุกรุ่น และระบบเบรก ABS EBD BA ตั้งแต่รุ่น E เป็นต้นไป
ราคานิสสัน มาร์ช
รุ่น | ราคาใหม่(บาท) | ราคาเก่า(บาท) | ส่วนต่าง(บาท) |
S MT | 388,000 | 380,000 | 8,000 |
E MT | 444,000 | 430,000 | 14,000 |
E CVT | 478,000 | 464,000 | 14,000 |
EL CVT | 506,000 | 494,000 | 12,000 |
V CVT | 525,000 | 512,000 | 13,000 |
VL CVT | 555,000 | 542,000 | 13,000 |
New Lexus IS
เลกซัสกรุ๊ป โดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยโฉม “เลกซัส IS ใหม่” ที่มาพร้อมความหรูหราผสานความสปอร์ตล้ำสมัย บน 2 ทางเลือก IS 300h ไฮบริด และ IS 250 F-Sport
IS 300h โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบ L-Shape ดูปราดเปรียวลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ คมชัดด้วย Daytime Running Light ไฟขับขี่ในเวลากลางวันเพื่อเพิ่มความปลอดภัย เสริมด้วยไฟท้ายแบบ LED เพิ่มความสวยงามและเป็นสัญญาณให้รถที่วิ่งตามมาสังเกตได้ชัดเจน
ภายในติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก Multi Information Display จอแสดงผลการทำงานขนาด 4.2 นิ้ว ที่เชื่อมต่อการทำงานกับโทรศัพท์ มือถือและรายการเพลงที่ฟัง พร้อมสวิทช์ควมคุมจากพวงมาลัย และหน้าจอ EMV ขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน สั่งการง่ายรวดเร็ว เพียงคลิกเมาส์
ส่วนเครื่องยนต์ รหัส 2AR-FSE จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ D-4S EFI ขนาด2.5 ลิตร DOHC 16วาล์ว VVT-i 181 แรงม้า ประสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมทั้งระบบเป็น 223 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
IS 300h ตอบสนองการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ คือ Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติ Eco สำหรับความประหยัดสูงสุดและ Sport สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตเร้าใจ
ด้านความปลอดภัยยังมากับVDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) ระบบจัดการรวมไดนามิค ซึ่งทำหน้าที่ประสานการทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆของตัวรถ ทั้งTRC (Traction Control) ระบบปัองกันการลื่นไถล ระบบVSC (Vehicle Stability Control) ระบบควบคุมการทรงตัวของรถจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รถสูญเสียการทรงตัว ระบบABS (Anti-lock Brake System) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ระบบEBD (Electronic Brake force Distribution) ระบบกระจายแรงเบรก
เสริมด้วยถุงลมนิรภัยSRS Airbags (Supplemental Restraint System Airbags) สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า บริเวณหัวเข่า บริเวณด้านข้าง และม่านถุงลมเสริมความปลอดภัย 5 ใบ
ขณะที่รุ่น IS250 F-Sport ดีไซน์กระจังหน้าใหม่ เป็นแบบ Spindle Grille รับกับชุดแต่ง F-Sport รอบคัน และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ภายในเบาะนั่งดีไซน์สปอร์ต ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมมาตรวัดความเร็ว TFT LCD ขนาด 8 นิ้ว ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมาตรวัดของสปอร์ตรุ่นใหญ่ LFA
ใต้ฝากระโปรงวางเครื่องยนต์ รหัส 4GR-FSE ขนาด2.5ลิตร V6 DOHC 24วาล์ว VVT-i 207 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Engine Sound Creator ระบบแต่งและเพิ่มเสียงเครื่องยนต์-ท่อไอเสีย เข้ามาในห้องโดยสาร
ขณะเดียวกันผู้ขับสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนได้ 4 โหมด คือ Normal Eco Sport และ Sport S+ ที่จะผสานการทำงานกับระบบกันสะเทือนแบบแปรผัน (AVS - Adaptive Variable Suspension) เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมและการตอบสนองต่อพวงมาลัยที่แม่นยำ
ทั้งนี้ เลกซัสกรุ๊ป โดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จะนำ "เลกซัส IS ใหม่" ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ 2013 ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายน นี้ ที่ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี
ราคา เลกซัส IS ใหม่
IS250 (F-Sport) ราคา 3.99 ล้านบาท
IS300h (Premium package) 3.49 ล้านบาท
IS300h (Luxury package) 2.99 ล้านบาท
IS 300h โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบ L-Shape ดูปราดเปรียวลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ คมชัดด้วย Daytime Running Light ไฟขับขี่ในเวลากลางวันเพื่อเพิ่มความปลอดภัย เสริมด้วยไฟท้ายแบบ LED เพิ่มความสวยงามและเป็นสัญญาณให้รถที่วิ่งตามมาสังเกตได้ชัดเจน
ภายในติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก Multi Information Display จอแสดงผลการทำงานขนาด 4.2 นิ้ว ที่เชื่อมต่อการทำงานกับโทรศัพท์ มือถือและรายการเพลงที่ฟัง พร้อมสวิทช์ควมคุมจากพวงมาลัย และหน้าจอ EMV ขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน สั่งการง่ายรวดเร็ว เพียงคลิกเมาส์
ส่วนเครื่องยนต์ รหัส 2AR-FSE จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ D-4S EFI ขนาด2.5 ลิตร DOHC 16วาล์ว VVT-i 181 แรงม้า ประสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมทั้งระบบเป็น 223 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
IS 300h ตอบสนองการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ คือ Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติ Eco สำหรับความประหยัดสูงสุดและ Sport สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตเร้าใจ
ด้านความปลอดภัยยังมากับVDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) ระบบจัดการรวมไดนามิค ซึ่งทำหน้าที่ประสานการทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆของตัวรถ ทั้งTRC (Traction Control) ระบบปัองกันการลื่นไถล ระบบVSC (Vehicle Stability Control) ระบบควบคุมการทรงตัวของรถจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รถสูญเสียการทรงตัว ระบบABS (Anti-lock Brake System) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ระบบEBD (Electronic Brake force Distribution) ระบบกระจายแรงเบรก
เสริมด้วยถุงลมนิรภัยSRS Airbags (Supplemental Restraint System Airbags) สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า บริเวณหัวเข่า บริเวณด้านข้าง และม่านถุงลมเสริมความปลอดภัย 5 ใบ
ขณะที่รุ่น IS250 F-Sport ดีไซน์กระจังหน้าใหม่ เป็นแบบ Spindle Grille รับกับชุดแต่ง F-Sport รอบคัน และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ภายในเบาะนั่งดีไซน์สปอร์ต ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมมาตรวัดความเร็ว TFT LCD ขนาด 8 นิ้ว ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมาตรวัดของสปอร์ตรุ่นใหญ่ LFA
ใต้ฝากระโปรงวางเครื่องยนต์ รหัส 4GR-FSE ขนาด2.5ลิตร V6 DOHC 24วาล์ว VVT-i 207 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Engine Sound Creator ระบบแต่งและเพิ่มเสียงเครื่องยนต์-ท่อไอเสีย เข้ามาในห้องโดยสาร
ขณะเดียวกันผู้ขับสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนได้ 4 โหมด คือ Normal Eco Sport และ Sport S+ ที่จะผสานการทำงานกับระบบกันสะเทือนแบบแปรผัน (AVS - Adaptive Variable Suspension) เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมและการตอบสนองต่อพวงมาลัยที่แม่นยำ
ทั้งนี้ เลกซัสกรุ๊ป โดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จะนำ "เลกซัส IS ใหม่" ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ 2013 ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายน นี้ ที่ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี
ราคา เลกซัส IS ใหม่
IS250 (F-Sport) ราคา 3.99 ล้านบาท
IS300h (Premium package) 3.49 ล้านบาท
IS300h (Luxury package) 2.99 ล้านบาท
Monday, April 20, 2015
Suzuki Ertiga MPV 7 ที่นั่ง
บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ซูซูกิ เออร์ติกา (Suzuki Ertiga) รถ อเนกประสงค์แบบ MPV 7 ที่นั่ง ชูความสะดวกสบายสามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย วางเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 95 แรงม้า หวังเจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นที่ 554,000 บาท ตัวท็อป 689,000 บาท
ซูซูกิ เออร์ติกา สร้างขึ้นจากรสนิยมและแรงบันดาลใจ ที่คำนึงถึงการเติบโตของสังคมเมืองที่ขยายตัวขึ้น ซูซูกิจึงตอบสนองความต้องการด้วยการผลิตรถ MPV 3 แถว 7 ที่นั่งสายพันธุ์ใหม่ที่ใช้งานได้หลายโอกาส และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวยุคใหม่ได้ดีที่สุด
โทชิกะซุ ฮิบิ หัวหน้าวิศวกรบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่นบอกว่า “เออร์ติกา” เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างสบายเป็นพิเศษ ขณะที่เครื่องยนต์ใหม่น้ำหนักเบา ให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และตอบสนองการขับขี่ดีเยี่ยม ผสานกับการออกแบบให้มีโครงสร้างและตัวถังที่แข็งแกร่ง เน้นมาตรฐานความปลอดภัยสูง
ทั้งนี้ เออร์ติกาได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ จากคอนเซ็ปต์และเทคโนโลยีของ “สวิฟท์” และได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ผลิตจากวัสดุที่ทนทาน เพิ่มความยาวฐานล้อเป็น 2,740 มิลลิเมตร ระยะห่างระหว่างฐานล้อหน้า 1,480 มิลลิเมตร ฐานล้อหลัง 1,490 มิลลิเมตร
ด้านการออกแบบภายในเน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเป็น หลัก เบาะนั่งคุณภาพสูงที่ผลิตจากวัสดุที่ได้เลือกสรรมาอย่างดี ทำให้เบาะนั่งมีความหนาและนุ่ม นั่งสบายเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันระบบช่วงล่างยังออกแบบให้เหมาะกับทุกสภาพถนน ขณะที่การเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วตัวรถยังสามารถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นใจและ ปลอดภัยในทุกการขับขี่
เครื่องยนต์รหัส K14B ขนาด 1.4 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วไอดีแปรผัน VVT ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20
ซูซูกิ เออร์ติกา แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย คือ GA เกียร์ธรรมดา ราคา 554,000 บาท และ GL เกียร์อัตโนมัติ ราคา 639,000 บาท และ GX เกียร์อัตโนมัติ ราคา 689,000 บาท โดยบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 6,000 คัน
ซูซูกิ เออร์ติกา สร้างขึ้นจากรสนิยมและแรงบันดาลใจ ที่คำนึงถึงการเติบโตของสังคมเมืองที่ขยายตัวขึ้น ซูซูกิจึงตอบสนองความต้องการด้วยการผลิตรถ MPV 3 แถว 7 ที่นั่งสายพันธุ์ใหม่ที่ใช้งานได้หลายโอกาส และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวยุคใหม่ได้ดีที่สุด
โทชิกะซุ ฮิบิ หัวหน้าวิศวกรบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่นบอกว่า “เออร์ติกา” เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างสบายเป็นพิเศษ ขณะที่เครื่องยนต์ใหม่น้ำหนักเบา ให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และตอบสนองการขับขี่ดีเยี่ยม ผสานกับการออกแบบให้มีโครงสร้างและตัวถังที่แข็งแกร่ง เน้นมาตรฐานความปลอดภัยสูง
ทั้งนี้ เออร์ติกาได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ จากคอนเซ็ปต์และเทคโนโลยีของ “สวิฟท์” และได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ผลิตจากวัสดุที่ทนทาน เพิ่มความยาวฐานล้อเป็น 2,740 มิลลิเมตร ระยะห่างระหว่างฐานล้อหน้า 1,480 มิลลิเมตร ฐานล้อหลัง 1,490 มิลลิเมตร
ด้านการออกแบบภายในเน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเป็น หลัก เบาะนั่งคุณภาพสูงที่ผลิตจากวัสดุที่ได้เลือกสรรมาอย่างดี ทำให้เบาะนั่งมีความหนาและนุ่ม นั่งสบายเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันระบบช่วงล่างยังออกแบบให้เหมาะกับทุกสภาพถนน ขณะที่การเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วตัวรถยังสามารถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นใจและ ปลอดภัยในทุกการขับขี่
เครื่องยนต์รหัส K14B ขนาด 1.4 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วไอดีแปรผัน VVT ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20
ซูซูกิ เออร์ติกา แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย คือ GA เกียร์ธรรมดา ราคา 554,000 บาท และ GL เกียร์อัตโนมัติ ราคา 639,000 บาท และ GX เกียร์อัตโนมัติ ราคา 689,000 บาท โดยบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 6,000 คัน
All-New Hyundai Veloster
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ฮุนไดอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เผยโฉม ฮุนได เวโลสเตอร์ (All-New Hyundai Veloster) 2 รุ่น ด้วยตัวเลือกขุมพลัง 1.6ลิตร 130 แรงม้า และ 1.6 ลิตรเทอร์โบ 186 แรงม้า พร้อม เปิดให้ทดลองขับครั้งแรกในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2556 เคาะราคาเริ่มต้น 1,299,000 และ 1,739,000 บาท ตามลำดับ
โยชิอากิ อิชิมูระ ประธานบริษัทฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ภายใต้นโยบาย Hyundai Everywhere ที่ประกาศเป็นแนวทางในปีนี้ เพื่อขยายขอบเขตความนิยมในรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทยให้แพร่หลายเพิ่มขึ้น บริษัทฯ จึงเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่เป็น ‘เอกลักษณ์นวัตกรรม’ เช่น Veloster ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มความหลากหลาย และความน่าตื่นเต้นให้กับรถยนต์ฮุนได จนลูกค้าสามารถสัมผัสได้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เน้นรถยนต์ที่แตกต่างและมีบุคลิก ซึ่งทำให้จำนวนรถยนต์ฮุนไดเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ที่ที่เราเดินทางไป”
All-New Hyundai Veloster คือผลงานที่ต่อยอดมาจาก Concept Car ที่มีชื่อว่า Hyundai HND-3 ที่เผยโฉมในงาน Seoul Motor Show ปี 2007 ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์นวัตกรรมครั้งแรกของโลกที่ประสานความเป็นรถสปอร์ตและ ความสะดวกสบายสไตล์รถซีดานเป็นหนึ่งเดียวด้วยรูปแบบประตู 2+1 (ประตู 2 บานในด้านหน้า และพิเศษ 1 บานด้านใน) โดยคำว่า “Veloster” มาจาก Velocity หมายถึงความเร็ว และคำว่า Roadster หมายถึง รถสปอร์ต 2 ที่นั่ง และเมื่อรวมกันแล้ว ย่อมมีความหมายว่า “ความสนุกเร้าใจและการขับขี่ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล” โดยออกแบบภายใต้แนวคิด “New Thinking. New Possibilities.” หรือ “คิดใหม่เพื่อสิ่งที่เหนือกว่า”
ออปชันติดรถประกอบด้วย ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Key และระบบ Button Start พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง และระบบควบคุมโทรศัพท์และเครื่องเสียง พร้อมกับ Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ด้านหลังพวงมาลัย
ด้านมิติตัวรถมีขนาด ยาว 4,220 มม. กว้าง 1,790 มม. (1,805 มม. สำหรับ Veloster Sport Turbo) และสูง 1,399 มม. โดย Veloster ทั้ง 2 รุ่น ยังเป็นเลิศในด้านความสะดวกสบาย และการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเบาะนั่งโดยสารด้านหลัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งบริเวณห้องเก็บสัมภาระสามารถจุของได้มากถึง 320 ลิตร และสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ด้วยการพับเบาะหลังลงทั้งหมด หรือแบบ 60:40 ก็สามารถทำได้ อีกทั้งสะดวกสบายไปอีกขั้นกับพื้นที่วางขาในด้านหน้าและด้านหลังมากถึง 1,072 มม. และ 870 มม.ตามลำดับ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะด้านหน้า 945 มม. และด้านหลัง 896 มม. และพื้นที่ช่วงไหล่ที่กว้างถึง 1,412 มม. ในด้านหน้า และ 1,371 มม. ในด้านหลัง
สำหรับขุมพลังเครื่องยนต์ DOHC 16V D-CVVT MPi ในรุ่น Veloster ให้กำลังสูงสุด 130 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 4,850 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ DOHC 16V D-CVVT T-GDi ให้กำลังสูงสุด 186 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 265 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,500 รอบต่อนาที ในรุ่น Veloster Sport Turbo โดยทั้ง 2 รุ่นขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Sequential Shift
ช่วงล่างหน้า-หลัง แบบแมคเฟอร์สันสตรัท และทอร์ชั่นบีม CTBA ระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อม ABS และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BA และระบบกระจายแรงเบรก EBD พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานจากโรงงาน ประกบล้ออัลลอย 17 นิ้ว ขนาดยาง 215/45 R 17สำหรับ Veloster และล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยาง 215/40 R 18 สำหรับ Veloster Sport Turbo
โดยมีออปชันที่แตกต่างในรุ่น Veloster Sport Turbo สำหรับถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย หลังคาแก้ว Panoramic Sunroof ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP ระบบเสริมสมรรถนะการควบคุมพวงมาลัย VSM ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC และระบบแทร็กชันคอนโทรล TCS
ทั้งนี้ All-New Hyundai Veloster และ Veloster Sport Turbo มีให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีส้ม Vitamin C, สีเหลือง Sunflower, สีเขียว Green Apple, สีเงิน Sonic Silver, สีแดง Veloster Red, สีน้ำเงิน Ocean Blue, สีขาว White Crystal และ สีพิเศษ “เทาด้าน” หรือ Petrol Grey ซึ่งมีให้เลือกเฉพาะในรุ่น Turbo เท่านั้น
สำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34 นี้ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2556 จะเป็นการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกของ Veloster ทั้ง 2 รุ่น ด้วยราคาแนะนำตัวสุดพิเศษ คือ 1.299 ล้านบาท สำหรับรุ่น Veloster และ1.739 ล้านบาท สำหรับรุ่น Veloster Sport Turbo
โยชิอากิ อิชิมูระ ประธานบริษัทฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ภายใต้นโยบาย Hyundai Everywhere ที่ประกาศเป็นแนวทางในปีนี้ เพื่อขยายขอบเขตความนิยมในรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทยให้แพร่หลายเพิ่มขึ้น บริษัทฯ จึงเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่เป็น ‘เอกลักษณ์นวัตกรรม’ เช่น Veloster ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มความหลากหลาย และความน่าตื่นเต้นให้กับรถยนต์ฮุนได จนลูกค้าสามารถสัมผัสได้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เน้นรถยนต์ที่แตกต่างและมีบุคลิก ซึ่งทำให้จำนวนรถยนต์ฮุนไดเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ที่ที่เราเดินทางไป”
All-New Hyundai Veloster คือผลงานที่ต่อยอดมาจาก Concept Car ที่มีชื่อว่า Hyundai HND-3 ที่เผยโฉมในงาน Seoul Motor Show ปี 2007 ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์นวัตกรรมครั้งแรกของโลกที่ประสานความเป็นรถสปอร์ตและ ความสะดวกสบายสไตล์รถซีดานเป็นหนึ่งเดียวด้วยรูปแบบประตู 2+1 (ประตู 2 บานในด้านหน้า และพิเศษ 1 บานด้านใน) โดยคำว่า “Veloster” มาจาก Velocity หมายถึงความเร็ว และคำว่า Roadster หมายถึง รถสปอร์ต 2 ที่นั่ง และเมื่อรวมกันแล้ว ย่อมมีความหมายว่า “ความสนุกเร้าใจและการขับขี่ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล” โดยออกแบบภายใต้แนวคิด “New Thinking. New Possibilities.” หรือ “คิดใหม่เพื่อสิ่งที่เหนือกว่า”
ออปชันติดรถประกอบด้วย ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Key และระบบ Button Start พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง และระบบควบคุมโทรศัพท์และเครื่องเสียง พร้อมกับ Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ด้านหลังพวงมาลัย
ด้านมิติตัวรถมีขนาด ยาว 4,220 มม. กว้าง 1,790 มม. (1,805 มม. สำหรับ Veloster Sport Turbo) และสูง 1,399 มม. โดย Veloster ทั้ง 2 รุ่น ยังเป็นเลิศในด้านความสะดวกสบาย และการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเบาะนั่งโดยสารด้านหลัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งบริเวณห้องเก็บสัมภาระสามารถจุของได้มากถึง 320 ลิตร และสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ด้วยการพับเบาะหลังลงทั้งหมด หรือแบบ 60:40 ก็สามารถทำได้ อีกทั้งสะดวกสบายไปอีกขั้นกับพื้นที่วางขาในด้านหน้าและด้านหลังมากถึง 1,072 มม. และ 870 มม.ตามลำดับ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะด้านหน้า 945 มม. และด้านหลัง 896 มม. และพื้นที่ช่วงไหล่ที่กว้างถึง 1,412 มม. ในด้านหน้า และ 1,371 มม. ในด้านหลัง
สำหรับขุมพลังเครื่องยนต์ DOHC 16V D-CVVT MPi ในรุ่น Veloster ให้กำลังสูงสุด 130 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 4,850 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ DOHC 16V D-CVVT T-GDi ให้กำลังสูงสุด 186 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 265 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,500 รอบต่อนาที ในรุ่น Veloster Sport Turbo โดยทั้ง 2 รุ่นขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Sequential Shift
ช่วงล่างหน้า-หลัง แบบแมคเฟอร์สันสตรัท และทอร์ชั่นบีม CTBA ระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อม ABS และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BA และระบบกระจายแรงเบรก EBD พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานจากโรงงาน ประกบล้ออัลลอย 17 นิ้ว ขนาดยาง 215/45 R 17สำหรับ Veloster และล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยาง 215/40 R 18 สำหรับ Veloster Sport Turbo
โดยมีออปชันที่แตกต่างในรุ่น Veloster Sport Turbo สำหรับถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย หลังคาแก้ว Panoramic Sunroof ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP ระบบเสริมสมรรถนะการควบคุมพวงมาลัย VSM ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC และระบบแทร็กชันคอนโทรล TCS
ทั้งนี้ All-New Hyundai Veloster และ Veloster Sport Turbo มีให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีส้ม Vitamin C, สีเหลือง Sunflower, สีเขียว Green Apple, สีเงิน Sonic Silver, สีแดง Veloster Red, สีน้ำเงิน Ocean Blue, สีขาว White Crystal และ สีพิเศษ “เทาด้าน” หรือ Petrol Grey ซึ่งมีให้เลือกเฉพาะในรุ่น Turbo เท่านั้น
สำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34 นี้ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2556 จะเป็นการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกของ Veloster ทั้ง 2 รุ่น ด้วยราคาแนะนำตัวสุดพิเศษ คือ 1.299 ล้านบาท สำหรับรุ่น Veloster และ1.739 ล้านบาท สำหรับรุ่น Veloster Sport Turbo
Chevrolet Spin
ค่ายจีเอ็มเปิดแนวรุกใหม่ในตลาดรถไทย ส่ง “เชฟโรเลต สปิน” รถอเนกประสงค์เล็ก 7 ที่นั่ง จากฐานผลิตอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับคู่แข่งในตลาด “โตโยต้า อแวนซา” และ “ซูซูกิ เออร์ทิกา” ชูจุดขายเล็กพริกขี้หนู ห้องโดยสารกว้างขวาง ปรับยืดหยุ่น ออปชันครบ และวางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 107 แรงม้า เปิดตัวแบบข้ามาเดี่ยวๆ รุ่นเดียว ราคา 7.62 แสนบาท
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยโฉมรถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุด “เชฟโรเลต สปิน” กับสื่อมวลชนไทย ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2013 ซึ่งสปินเป็นรถอเนกประสงค์ในแบบรถเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง ขนาดซับคอมแพ็กต์ หรือตลาดรถบีเซกเมนต์ในประเทศไทย โดยขึ้นสายการผลิตที่ศูนย์การผลิตแห่งใหม่ของเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม (GM) ในเมืองเบกาซี ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากทำตลาดในไทยและอินโดนีเซียแล้ว สปินยังถูกส่งออกไปจำหน่ายในฟิลิปปินส์อีกด้วย
นายมาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประจำประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สปินจะเติมความสมบูรณ์แบบให้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์เชฟโรเลตในประเทศไทย รวมถึงเต็มช่องว่างระหว่างรถซีดาน และอเนกประสงค์เอสยูวี หรือปิกอัพได้ดี
“สปินเป็นรถที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นครอบครัวและคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการแบ่งปันกิจกรรมในวันพักผ่อนกับเพื่อนฝูง โดยทีมพัฒนาของเราซึ่งประกอบด้วยวิศวกรทั่วทั้งภูมิภาคนี้ ได้สร้างสรรค์รถซับคอมแพกต์เอ็มพีวี สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ดังกล่าวโดยเฉพาะ สามารถรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ด้วยเนื้อที่อันกว้างขวาง สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ สะดวกสบายและยืดหยุ่น อีกทั้งยังมีความทันสมัย สดใหม่ สมบุกสมบันและบึกบึน ซึ่งทุกคุณสมบัติเด่นรวมอยู่ในรถที่มีขนาดกำลังดีคันนี้ สปินจึงเป็นรถที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี”
ทั้งนี้ สปินได้รับการพัฒนาบนแพลตฟอร์มของเชฟโรเลตในระดับโลก โดยได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากทีมวิศวกรของเชฟโรเลตทั่วทั้งภูมิภาคนี้ ซึ่งนำมาต่อยอดสู่การพัฒนาตั้งแต่เริ่มโครงการ ไปจนถึงขั้นตอนการออกแบบและการผลิต
“เราทุ่มเทใส่ใจอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายนอกและภายในห้องโดยสาร การเลือกขุมพลังขับเคลื่อน การปรับปรุงสมรรถนะการขับขี่และการควบคุม ความสะดวกสบายและความประณีตในการตกแต่ง สปินจึงถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ” นายแอพเฟลกล่าว
การออกแบบและพัฒนา
สปินโดดเด่นด้วยกระจังหน้าดูอัลพอร์ท ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเชฟโรเลต ให้ภาพลักษณ์ความร่วมสมัย และเน้นย้ำว่ารถเอ็มพีวีขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องมีรูปลักษณ์แบบดั้งเดิมเสมอไป ทีมออกแบบเอาใจพิเศษเพื่อไม่ให้สปินดูเหมือนเป็น ‘รถเอ็มพีวีธรรมดาอีกคันหนึ่งในตลาด’ ด้วยเส้นสายที่บึกบึนและชัดเจน ทำให้รูปลักษณ์ของสปินมีความโดดเด่นและทันสมัย สัดส่วนตัวถังที่คมคายจากช่วงสันไหล่ด้านข้าง ตัวรถที่สูงทำให้ตัวรถดูใหญ่กว่าที่เป็นและสะดุดตาขึ้น สะท้อนตัวตนความเป็นแบรนด์เชฟโรเลตขนานแท้
สปินถูกพัฒนาให้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ความยืดหยุ่น ความคล่องตัว ความกว้างขวาง และความประหยัด ทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในรถขนาดพอเหมาะคันนี้ เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง และให้ความสนุกสนานบนถนนทางไกล เป็นคำตอบสำหรับกลุ่มผู้เริ่มสร้างครอบครัวและคนรุ่นใหม่ในเมืองไทย ที่ต้องการรถ 7 ที่นั่งไม่ใหญ่โตเกินไปนัก ซึ่งสปินสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ ในการพัฒนาสปินยังมุ่งตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเบาะที่นั่งอันยืดหยุ่น การจัดวางตำแหน่งผู้ขับขี่ (สำหรับเวอร์ชันพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวา) ความสะดวกสบายของผู้โดยสาร และการคำนึงถึงเรื่องใช้เชื้อเพลิง โดยในเวอร์ชันพวงมาลัยขวานั้น ระบบขับเคลื่อนและระบบปรับอากาศของผู้โดยสารตอนหลัง ได้รับการพัฒนาตอบสนองความต้องการในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ
ภายในห้องโดยสาร
ห้องโดยสารของสปิน ถูกออกแบบให้กว้างขวางรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่งอย่างสะดวกสบาย พร้อมกับคงความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน การออกแบบภายในมีความอเนกประสงค์ ทันสมัย และมีกลิ่นอายความสปอร์ต รองรับการใช้งานสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งรวมถึงการย้ายเบรกมือ เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับช่องวางแก้ว
สปินยังคำนึงถึงหลักสรีรศาสตร์ และความสะดวก โดยเฉพาะการใช้งานสวิตช์ต่างๆ เบาะที่นั่งกว้างนั่งสบาย และสามารถพับได้ 23 รูปแบบแล้ว สปินยังมีช่องเก็บของในห้องโดยสารมากถึง 32 ช่อง มีเนื้อที่ความจุอยู่ที่ 162 ลิตร เมื่อใช้เบาะ 7 ที่นั่ง โดยจะเพิ่มเป็น 864 ลิตร หากพับเบาะแถวหลังลง และจะมีเนื้อที่สูงถึง 1,608 ลิตรหากพับเบาะแถวกลางลง
การออกแบบห้องโดยสารของสปิน ดีไซน์แบบดูอัล-ค็อกพิตที่เป็นเอกลักษณ์ของเชฟโรเลต แผงคอนโซลแบบทูโทนช่วยสร้างบรรยากาศระดับพรีเมียม มาตรวัดความเร็วเป็นแบบดิจิตอล ส่วนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์เป็นแบบเข็มแอนะล็อก ช่วยเพิ่มความสปอร์ตอีก ขณะที่ห้องโดยสารมีความเงียบ ด้วยการบุวัสดุเก็บเสียงเป็นอย่างดี ซึ่งช่วยลดทั้งเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน และความกระด้าง
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
เชฟโรเลต สปิน ออกวางจำหน่ายในตลาดประเทศไทย กับรุ่น LTZ วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบ DOHC (Double Overhead Camshafts) 16 วาล์วพร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ Dual-VVT (Dual Variable Valve Timing) หัวฉีดเชื้อเพลิงมัลติพอยต์ (Multi-Point Fuel Injection) ให้กำลังสูงสุด 107 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 148 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบ/นาที ถ่ายพละกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Driver Shift Control ให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา ซึ่งเป็นครั้งแรกในรถระดับนี้
ระบบช่วงล่างของสปิน ด้านหน้าแบบอิสระและด้านหลังแบบกึ่งอิสระ ปรับแต่งเพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่และควบคุมที่ดีที่สุด ตอบสนองได้ทั้งการขับขี่ในเมือง และเสถียรภาพอันมั่นคงในช่วงความเร็วสูง ผู้ขับขี่สามารถควบคุมตัวรถได้ แม่นยำ โดยไม่สูญเสียความสะดวกสบายแม้แต่น้อย และสปินมาพร้อมคอยล์สปริงทั้งสี่ล้อ จึงช่วยเติมความสมบูรณ์แบบให้การขับขี่ที่เงียบ และสร้างบรรยากาศแบบรถยนต์นั่ง
ทั้งนี้ เชฟโรเลต สปิน ทำตลาดรุ่นเดียว LTZ มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐาน อย่างระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน (หน้า/หลัง) เครื่องเสียงซีดี/เอ็มพี3 ลำโพง 4 ตัว พร้อมระบบเชื่อมต่อยูเอสบีและบลูทูธ ช่องเสียบต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบความปลอดภัยไฟหน้าส่องสว่าง Follow-Me-Home และระบบกันขโมย พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติและราวหลังคา
เชฟโรเลต สปิน 1.5 ลิตร LTZ จำหน่ายในราคา 762,000 บาท โดยเปิดตัวและรับจองอย่างเป็นทางการ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2013 ปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไป ซึ่งเชฟโรเลตมีความเชื่อมั่นว่าสปินจะดึงดูดความสนใจของลูกค้าอย่างมาก ทั้งในด้านราคาจำหน่ายและอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยโฉมรถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุด “เชฟโรเลต สปิน” กับสื่อมวลชนไทย ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2013 ซึ่งสปินเป็นรถอเนกประสงค์ในแบบรถเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง ขนาดซับคอมแพ็กต์ หรือตลาดรถบีเซกเมนต์ในประเทศไทย โดยขึ้นสายการผลิตที่ศูนย์การผลิตแห่งใหม่ของเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม (GM) ในเมืองเบกาซี ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากทำตลาดในไทยและอินโดนีเซียแล้ว สปินยังถูกส่งออกไปจำหน่ายในฟิลิปปินส์อีกด้วย
นายมาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประจำประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สปินจะเติมความสมบูรณ์แบบให้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์เชฟโรเลตในประเทศไทย รวมถึงเต็มช่องว่างระหว่างรถซีดาน และอเนกประสงค์เอสยูวี หรือปิกอัพได้ดี
“สปินเป็นรถที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นครอบครัวและคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการแบ่งปันกิจกรรมในวันพักผ่อนกับเพื่อนฝูง โดยทีมพัฒนาของเราซึ่งประกอบด้วยวิศวกรทั่วทั้งภูมิภาคนี้ ได้สร้างสรรค์รถซับคอมแพกต์เอ็มพีวี สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ดังกล่าวโดยเฉพาะ สามารถรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ด้วยเนื้อที่อันกว้างขวาง สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ สะดวกสบายและยืดหยุ่น อีกทั้งยังมีความทันสมัย สดใหม่ สมบุกสมบันและบึกบึน ซึ่งทุกคุณสมบัติเด่นรวมอยู่ในรถที่มีขนาดกำลังดีคันนี้ สปินจึงเป็นรถที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี”
ทั้งนี้ สปินได้รับการพัฒนาบนแพลตฟอร์มของเชฟโรเลตในระดับโลก โดยได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากทีมวิศวกรของเชฟโรเลตทั่วทั้งภูมิภาคนี้ ซึ่งนำมาต่อยอดสู่การพัฒนาตั้งแต่เริ่มโครงการ ไปจนถึงขั้นตอนการออกแบบและการผลิต
“เราทุ่มเทใส่ใจอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายนอกและภายในห้องโดยสาร การเลือกขุมพลังขับเคลื่อน การปรับปรุงสมรรถนะการขับขี่และการควบคุม ความสะดวกสบายและความประณีตในการตกแต่ง สปินจึงถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ” นายแอพเฟลกล่าว
การออกแบบและพัฒนา
สปินโดดเด่นด้วยกระจังหน้าดูอัลพอร์ท ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเชฟโรเลต ให้ภาพลักษณ์ความร่วมสมัย และเน้นย้ำว่ารถเอ็มพีวีขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องมีรูปลักษณ์แบบดั้งเดิมเสมอไป ทีมออกแบบเอาใจพิเศษเพื่อไม่ให้สปินดูเหมือนเป็น ‘รถเอ็มพีวีธรรมดาอีกคันหนึ่งในตลาด’ ด้วยเส้นสายที่บึกบึนและชัดเจน ทำให้รูปลักษณ์ของสปินมีความโดดเด่นและทันสมัย สัดส่วนตัวถังที่คมคายจากช่วงสันไหล่ด้านข้าง ตัวรถที่สูงทำให้ตัวรถดูใหญ่กว่าที่เป็นและสะดุดตาขึ้น สะท้อนตัวตนความเป็นแบรนด์เชฟโรเลตขนานแท้
สปินถูกพัฒนาให้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ความยืดหยุ่น ความคล่องตัว ความกว้างขวาง และความประหยัด ทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในรถขนาดพอเหมาะคันนี้ เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง และให้ความสนุกสนานบนถนนทางไกล เป็นคำตอบสำหรับกลุ่มผู้เริ่มสร้างครอบครัวและคนรุ่นใหม่ในเมืองไทย ที่ต้องการรถ 7 ที่นั่งไม่ใหญ่โตเกินไปนัก ซึ่งสปินสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ ในการพัฒนาสปินยังมุ่งตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเบาะที่นั่งอันยืดหยุ่น การจัดวางตำแหน่งผู้ขับขี่ (สำหรับเวอร์ชันพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวา) ความสะดวกสบายของผู้โดยสาร และการคำนึงถึงเรื่องใช้เชื้อเพลิง โดยในเวอร์ชันพวงมาลัยขวานั้น ระบบขับเคลื่อนและระบบปรับอากาศของผู้โดยสารตอนหลัง ได้รับการพัฒนาตอบสนองความต้องการในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ
ภายในห้องโดยสาร
ห้องโดยสารของสปิน ถูกออกแบบให้กว้างขวางรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่งอย่างสะดวกสบาย พร้อมกับคงความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน การออกแบบภายในมีความอเนกประสงค์ ทันสมัย และมีกลิ่นอายความสปอร์ต รองรับการใช้งานสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งรวมถึงการย้ายเบรกมือ เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับช่องวางแก้ว
สปินยังคำนึงถึงหลักสรีรศาสตร์ และความสะดวก โดยเฉพาะการใช้งานสวิตช์ต่างๆ เบาะที่นั่งกว้างนั่งสบาย และสามารถพับได้ 23 รูปแบบแล้ว สปินยังมีช่องเก็บของในห้องโดยสารมากถึง 32 ช่อง มีเนื้อที่ความจุอยู่ที่ 162 ลิตร เมื่อใช้เบาะ 7 ที่นั่ง โดยจะเพิ่มเป็น 864 ลิตร หากพับเบาะแถวหลังลง และจะมีเนื้อที่สูงถึง 1,608 ลิตรหากพับเบาะแถวกลางลง
การออกแบบห้องโดยสารของสปิน ดีไซน์แบบดูอัล-ค็อกพิตที่เป็นเอกลักษณ์ของเชฟโรเลต แผงคอนโซลแบบทูโทนช่วยสร้างบรรยากาศระดับพรีเมียม มาตรวัดความเร็วเป็นแบบดิจิตอล ส่วนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์เป็นแบบเข็มแอนะล็อก ช่วยเพิ่มความสปอร์ตอีก ขณะที่ห้องโดยสารมีความเงียบ ด้วยการบุวัสดุเก็บเสียงเป็นอย่างดี ซึ่งช่วยลดทั้งเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน และความกระด้าง
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
เชฟโรเลต สปิน ออกวางจำหน่ายในตลาดประเทศไทย กับรุ่น LTZ วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบ DOHC (Double Overhead Camshafts) 16 วาล์วพร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ Dual-VVT (Dual Variable Valve Timing) หัวฉีดเชื้อเพลิงมัลติพอยต์ (Multi-Point Fuel Injection) ให้กำลังสูงสุด 107 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 148 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบ/นาที ถ่ายพละกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Driver Shift Control ให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา ซึ่งเป็นครั้งแรกในรถระดับนี้
ระบบช่วงล่างของสปิน ด้านหน้าแบบอิสระและด้านหลังแบบกึ่งอิสระ ปรับแต่งเพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่และควบคุมที่ดีที่สุด ตอบสนองได้ทั้งการขับขี่ในเมือง และเสถียรภาพอันมั่นคงในช่วงความเร็วสูง ผู้ขับขี่สามารถควบคุมตัวรถได้ แม่นยำ โดยไม่สูญเสียความสะดวกสบายแม้แต่น้อย และสปินมาพร้อมคอยล์สปริงทั้งสี่ล้อ จึงช่วยเติมความสมบูรณ์แบบให้การขับขี่ที่เงียบ และสร้างบรรยากาศแบบรถยนต์นั่ง
ทั้งนี้ เชฟโรเลต สปิน ทำตลาดรุ่นเดียว LTZ มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐาน อย่างระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน (หน้า/หลัง) เครื่องเสียงซีดี/เอ็มพี3 ลำโพง 4 ตัว พร้อมระบบเชื่อมต่อยูเอสบีและบลูทูธ ช่องเสียบต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบความปลอดภัยไฟหน้าส่องสว่าง Follow-Me-Home และระบบกันขโมย พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติและราวหลังคา
เชฟโรเลต สปิน 1.5 ลิตร LTZ จำหน่ายในราคา 762,000 บาท โดยเปิดตัวและรับจองอย่างเป็นทางการ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2013 ปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไป ซึ่งเชฟโรเลตมีความเชื่อมั่นว่าสปินจะดึงดูดความสนใจของลูกค้าอย่างมาก ทั้งในด้านราคาจำหน่ายและอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน
Subscribe to:
Posts (Atom)
Popular Posts
-
รายละเอียดรถ HONDA CITY 2010 ตัวถังมีขยายใหญ่ขึ้น มีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตรสูง 1,470 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ i-VTEC ข...
-
กันยายนปีที่แล้ว (2010) เชฟโรเลต เผยภาพออฟฟิเชียลรุ่นปรับโฉมของ Chevrolet Captiva ทั้งหน้า - หลัง แบบที่แฟนๆ เห็นแล้วคงต้องยิ้มอย่างพอใจ ไม...
-
มีด้วยกันทั้งหมด 6 แบบ 6 สไตล์ โดยแต่ละแบบจะได้รับการติดตั้งชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ดีไซน์ให้มีลักษณะเด่น เฉพาะตัว น่ารัก สีสันสดใส บ่งบอกเอกลักษ...
-
หลังโดน “เกรย์มาร์เก็ต” กระหน่ำไม่ไว้หน้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ย่อมอยู่เฉยไม่ได้ ล่าสุดประกาศเปิดรับจองสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นดัง S...
-
เป็นสองค่ายอเมริกันใจถึง ที่กล้านำเก๋งระดับคอมแพกต์เครื่องยนต์ดีเซลมาเปิดตลาดในเมืองไทย (ไม่นับกลุ่มรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดั...
-
Mazda 2 เปิดตัวในไทยไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 53 ที่ผ่านมา สำหรับ รถยนต์ซิตี้คาร์ แฮชแบค 5 ประตู น้องใหม่ล่าสุด จากทางมาส...
-
หลังจากการเปิดตัว “ครูซ” เก๋งคอมแพกต์รุ่นใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เชฟโรเลตเสริมทัพด้วยรถธง “แคปติวา ใหม่” หรือโฉ...
-
Honda jazz โฉมใหม่ ปี 2011 เปลี่ยนโฉมครั้งสุดท้ายก่อนเปลี่ยน body ไปเป็นรุ่นใหม่ รุ่นนี้มาพร้อมกับสีส้มใหม่ ที่เป็นสีเดียวกับ Honda FIT RS ...
-
ภายนอกค่ายสามห่วงได้มีการปรับหน้าตาของกระบะตัวแสบของค่ายใหม่จากเดิม ที่มีลุคดุดันคล้ายตัวนอกจนเป้นที่ชื่นชอบของหลายคนแต่ครั้งนี้ รถกระบะแชม...