ท่ามกลางความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หลังจากได้เปิดตัว อเวนทาดอร์ แอลพี700-4 (Lamborghini Aventador LP700 - 4) ในฤดูร้อนของปี 2011 ด้วยยอดขายที่ส่งมอบรถไปแล้วมากกว่า 1,300 คัน ถือเป็นการตอบรับที่ดีเยี่ยมต่อผู้ผลิตรถยนต์ระดับซูเปอร์พรีเมียม และมาในปีนี้ 2012 ก็ถึงเวลาของการปล่อยกระทิงตัวใหม่ออกสู่ท้องถนน ด้วยเวอร์ชันเปิดประทุนสำหรับ อเวนทาดอร์ แอลพี700-4 โรดสเตอร์ (Aventador LP700-4 Roadster) รถที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดของยนตรกรรมแห่งการขับขี่
อเวนทาดอร์ แอลพี700-4 โรดสเตอร์ สะกดทุกสายตาด้วยเอกลักษณ์การออกแบบจากการใช้รูปทรงเรขาคณิตตั้งแต่ส่วนของ หลังคาจรดไปถึงฝากระโปรงเครื่องยนต์ โดยมีความโดดเด่นอยู่ที่หลังคาประทุนขึ้นรูปเป็น 2 ชิ้น และมีน้ำหนักน้อยกว่า 6 กิโลกรัม ทำขึ้นมาจากวัสดุน้ำหนักเบาคาร์บอนไฟเบอร์ ด้วยเทคโนโลยี RTM และ Forged Composite สามารถรองรับแรงเสียดทาน และให้ความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระทำในทุกสภาพของตัวรถ
ด้วยการดีไซน์แบบ two - tone หรือ 2 เฉดสี โดยในส่วนที่เริ่มจากส่วนของเสากระจกหน้าไล่มาถึงหลังคาจรดมาถึงแผงกระจก หลัง ต่อไปจนถึง “fins” (ก้านที่มีรูปร่างคล้ายครีบปลา) จะเป็นสีแบบ gloss black สีดำเงาเข้มที่ตัดกับสีตัวถัง โดยสีใหม่ล่าสุดสำหรับตัว Roadster นี้เป็นสีฟ้าเมทัลลิก หรือ Azzuro Thetis ให้ความรู้สึกเบา เมื่อยามแสงไฟตกกระทบกับสี Azzuro Thetis จะสร้างมิติที่หลากหลาย ซึ่งการเลือกสีดำตัดฟ้านี้จะช่วยเพิ่มความโดดเด่นและสวยงาม และแม้ยามที่เปิดหลังคาเส้นสายของตัวรถสีฟ้านี้ยังให้อารมณ์ของความเป็นรถ สปอร์ตและความหรูหราไปพร้อมกัน
เสาหลังของตัวรถ ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับการขับขี่เมื่อยามที่รถเปิดประทุนและเพิ่ม ระบบความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร อีกทั้งยังออกแบบให้มีการหมุนเวียนของลมที่จะเข้าระบายความร้อนของห้อง เครื่องให้ได้อย่างพอเพียง ซึ่งฝาครอบเครื่องยนต์จะมีหน้าต่างฝาครอบรูปทรงหกเหลี่ยมคู่วางขนานกัน ทั้งนี้เพื่อโชว์เครื่องยนต์ V12 อันทรงพลังภายในห้องเครื่อง และยังเป็นเกราะป้องกันสภาพแวดล้อมจากภายนอกด้วย
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเลือกความสนุกสนานในการขับขี่ ขณะเปิดประทุนหลังคา ด้วยการเลือกระดับของเสียงสายลมและเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 โดยสามารถเลือกเปิดหรือปิดกระจกไฟฟ้าหลัง ส่วนการออกแบบแผงกันลม ( Wind Deflector) ที่ติดอยู่บนกรอบตัวกระจกด้านหน้ารถนั้น จะลดเสียงลมในห้องผู้โดยสารขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถถอดเก็บแผงกันลมนี้ไว้ในที่เก็บสัมภาระบริเวณฝากระโปรงด้านหน้าตัว รถได้เช่นกัน
สำหรับกระจกด้านข้างไม่มีขอบกระจกเพื่อความสวยงามและเป็นโร ดสเตอร์พันธุ์แท้ ที่สำคัญคือความแม่นยำในการออกแบบและผลิต เมื่อตัวรถปิดประทุน กระจกจะถูกปิดขึ้นได้พอดีกับขอบของหลังคาที่ปิดลงมาของตัวรถ
การตกแต่งภายในให้ความสวยงามเป็นพิเศษด้วยการเลือกใช้หนัง Sabbia Nefertem ตัดเย็บด้วยมืออย่างปราณีตโดยช่างหนังฝีมือเอกของโรงงานที่เซ็นต์ อกาต้า แคว้นโบโลญเนส และเพิ่มความดุดันแฝงความสง่างามให้กับตัวรถด้วยล้อแม็กขึ้นรูปด้วยฟอร์จ อลูมิเนียมน้ำหนักเบาลายใหม่ ลาย “Dione” ที่มีขนาด 20 นิ้ว ทางด้านหน้า และ 21 นิ้วทางด้านหลัง ซึ่งชุดล้อลายใหม่นี้เมื่อเปรียบเทียบกับล้อในรุ่นปกติจะมีน้ำหนักเบากว่า ถึง 10 กก.
อเวนทาดอร์ แอลพี700-4 โรดสเตอร์ มาพร้อมกับสมรรถนะที่ร้อนแรงด้วยอัตราเร่ง 0 - 100 กม./ชม. ที่ 3 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 6.5 ลิตร V12 สูบ ให้กำลัง 700 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ ISR 7 สปีด ระบบช่วงล่างแบบรถแข่ง push - rod
พร้อมกันนี้ยังได้บรรจุเทคโนโลยีใหม่ล่า สุดทั้ง Start & Stop System ด้วยการออกแบบ Supercaps เข้ามาเป็นตัวช่วยกักเก็บและจ่ายพลังงานในระบบเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ V12 ออกตัวได้อย่างรวดเร็วขึ้นในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที โดยใช้เวลาเพียง 180 มิลลิวินาที หรือ 0.18 วินาที แม้รถอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง และ Cylinder Deactivation System : CDS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการทำงานที่สูญเปล่าของเครื่องยนต์และเพิ่มอายุ การทำงานของลูกสูบ โดยหลักการทำงานมีอยู่ว่า ในสภาวะที่รถทำงานในย่านความเร็วต่ำ หรือ ที่ไม่เกิน 135 กม./ชม. ระบบ CDS จะเข้ามาช่วยตัดระบบการทำงาน จาก 2 ไลน์ ให้เหลือการทำงานเพียงไลน์เดียว คือ จากเดิน 12 สูบปกติ เป็นเดิน 6 สูบเท่านั้น
ที่สำคัญภายใต้แนวคิดการเป็นรถซูเปอร์คาร์น้ำหนักเบา ทำให้การใช้แบตเตอร์รี่ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ ดังนั้นน้ำหนักรถจึงลดลงไปถึง 3 กิโลกรัม เพราะแบตเตอรี่ในอเวนทาดอร์ 2013 จะมีหน้าที่ทำงานเลี้ยงระบบไฟฟ้าของตัวรถเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานไปตลอดอายุการใช้งานเลยทีเดียว
อเวนทาดอร์ แอลพี700-4 โรดสเตอร์ เปิดราคาที่ 39.5 ล้านบาท โดยการเผยโฉมในไทยครั้งนี้นับเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ต่อจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย
No comments:
Post a Comment